ศาลปกครองสูงสุดให้ กัลฟ์ ชนะคดีประมูลโรงไฟฟ้า IPP ขนาด 5,300 MW

ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ‘กัลฟ์’ ชนะคดีมหากาพย์ 9 ปี ประมูลโรงไฟฟ้า IPP ขนาด 5,300 เมกะวัตต์ พร้อมให้กระทรวง พลังงานแจ้ง BOI ภายใน 7 วัน ห้ามนำผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปใช้เจรจาเพื่อยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

วันที่ 15 ธันวาคม 2564 นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเรื่องการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ขนาดกำลังผลิต ไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์

กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า ตามที่บริษัทอินดิเพนเดนท์เพาเวอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ IPD ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 70 % ได้ชนะการประมูล คัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ประจำปี 2555 หรือ โครงการ IPP ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า ติดตั้ง 5,300 เมกะวัตต์

โดย IPD ได้ดำเนินการให้บริษัท กัลฟ์ เอสอาร์ซี จำกัด หรือ GSRC และ บริษัทกัลฟ์ พีดีจำกัด หรือ GPD ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่IPDถือ หุ้นทั้งหมด เข้า ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ต่อมาในปี 2557 คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (“คตร.”) ได้มีมติให้คณะกรรมการ กำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เข้าตรวจสอบผลการประมูลของโครงการ IPP

เนื่องจากมีการ ร้องเรียนว่า ขั้นตอนการประมูลคัดเลือกโครงการ IPP ไม่เป็นไปตามแผน พัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ระเบียบของ กกพ.และเอกสารข้อกาหนดในการเสนอราคา(RFP)

ทางกกพ.ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบเพื่อ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานผล รวมถึงส่ง ผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ คตร. ทราบ ซึ่งต่อมา คตร. ได้มอบหมายให้ กระทรวงพลังงานดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยกระทรวงพลังงานได้แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี การดำเนินการประมูล โครงการ IPP และได้เชิญบริษัทฯ เข้าประชุม เพื่อขอเจรจายกเลิก โครงการโรงไฟฟ้า GPD ที่ชนะการ ประมูลและได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.แล้ว อีกทั้งยังได้มีหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุน (คณะกรรมการ BOI) ให้ชะลอการสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนของโครงการ โรงไฟฟ้าของ GSRC และ GPD ที่ ชนะการประมูล ทั้งโครงการ

ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 IPD GSRC และ GPD (รวมเรียกว่า “ผู้ฟ้องคดี”) ได้ยื่นฟ้อง (1) กกพ. (2) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) (3) กระทรวงพลังงาน และ (4) คณะกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง (รวมเรียกว่า “ผู้ถูกฟ้องคดี”) ต่อศาลปกครองกลาง

เนื่องจาก ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การตรวจสอบการ ประมูลคัดเลือก โครงการ IPP ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเป็น คนผู้มีส่วนได้เสีย และข้อมูล ที่ นำมาใช้ประกอบการตรวจสอบพิจารณานั้น เป็นข้อมูล ที่ถูก บิดเบือนจากความจริงการตรวจสอบ ดังกล่าวทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการที่มีอุปสรรคไม่สามารถดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าต่อไปได้

ทั้งนี้ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองกลางมี คำสั่งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการตรวจสอบหรือนำผลการตรวจสอบการประมูลโครงการ IPP ที่ไม่ชอบด้วย กฎหมายนั้นไปใช้หรืออ้างอิง

กระทั่ง 8 ธันวาคม 2559 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจดำเนินการตรวจสอบตาม กฎหมาย แต่ได้กระทำนอกเหนือเกินขอบเขตอำนาจในการใช้ผลการตรวจสอบ ดังกล่าว จนเป็น เหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความ เสียหายและให้กระทรวงพลังงานแจ้งยกเลิกหนังสือที่ส่งไปถึงคณะกรรมการ BOI เกี่ยวกับการชะลอการพิจารณาอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน

โดยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 กรรมการส่งเสริมการลงทุนได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 กระทรวงพลังงานได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เนื่องจาก กระทรวง พลังงานเห็นว่า การกระทำของกระทรวง สั่งงานไม่ได้เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีและผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 20 มิถุนายน 2560

ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ศาลปกครอง สูงสุดได้มีคำพิพากษาการกระทำของกระทรวงพลังงานทั้งในส่วนของการส่ง หนังสือถึงคณะกรรมการ BOI หรือการเรียก ผู้ฟ้องคดีเข้าไปเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยยกเลิกสัญญา ขายไฟฟ้านั้นเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย

ตั้งนั้นศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาให้กระทรวงพลังงานยกเลิกหนังสือของกระทรวงพลังงานที่มีถึงสำนักงานคณะกรรมการ BOI ในการให้ชะลอการ สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของโครงการของผู้ฟ้องคดีและให้กระทรวง พลังงานแจ้ง สำนักงานคณะกรรมการBOI ทราบภายใน 7 วันนับตั้งแต่ที่มีคำพิพากษา รวมถึงห้ามกระทรวงพลังงานนำผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการประมูล โครงการดังกล่าวไปใช้เจรจากับผู้ฟ้องคดีเพื่อยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอีกต่อไปซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวถือเป็นที่สุด