ไทยออยล์ ลงทุนสตาร์ตอัพไทย ปักธงธุรกิจใหม่ด้านเฮลท์แคร์

ไทยออยล์ “TOP Ventures” กระจายพอร์ตลงทุนธุรกิจใหม่ เฮลท์แคร์ จับมือกับ บริษัท ไมนีด เทคโนโลยี จำกัด (Mineed Tech) ลงทุนร่วมสตาร์ตอัพไทย คิดค้นนวัตกรรม “แผ่นแปะเข็มระดับไมโครชนิดละลายได้” ทางเลือกใหม่ทดแทนการใช้เข็มฉีดยา ใช้ในการให้ยา เครื่องสำอาง สารบำรุง ชี้เป้าหมายต่อยอดธุรกิจสู่นวัตกรรม New S-Curve

วันที่ 10 มกราคม 2565 นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยออยล์มีเป้าหมายที่จะต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจอื่น ๆ หรือ New S-Curve โดยถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อกระจายการเติบโตและสร้างความมั่นคงผ่านพอร์ตการลงทุน (Portfolio) ของบริษัท (Value Diversifications)

โดยนอกจากการลงทุนในกองทุน Venture Capital แล้วยังจะแสวงหาโอกาสในการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งเราตั้งเป้าหมายว่าธุรกิจของไทยออยล์ในปี 2030 จะมีรายได้จากธุรกิจใหม่ประมาณ 10% ในขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% และธุรกิจโรงไฟฟ้า 10%”

นายวิรัตน์กล่าวเสริม “Detachable Dissolvable Microneedles เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท Deep Tech ที่คิดค้นโดยสตาร์ตอัพของคนไทยเอง โดยไทยออยล์ได้ร่วมลงทุนกับเครือ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) และนักลงทุนอื่นเพื่อช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นี้สามารถใช้งานได้หลากหลายทั้งด้านยา และด้านเครื่องสำอาง ถือได้ว่าเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการดูแลสุขภาพ

ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัท ไมนีด เทคโนโลยี จำกัด สามารถเริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านเครื่องสำอางในรูปแบบ OEM ให้กับแบรนด์เครื่องสำอางของไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการร่วมพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์กับเครือโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำของไทยอีกมากมาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของไทยออยล์ ที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันศักยภาพธุรกิจของคนไทยสู่ตลาดสากล”

ทั้งนี้ ไทยออยล์มุ่งหน้าต่อยอดศักยภาพทางธุรกิจ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนโดยมีกลยุทธ์ที่จะกระจายการเติบโตไปยังธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจใหม่เชิงนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตการลงทุนและเพิ่มเสถียรภาพของกำไร รองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ผ่านการลงทุนในกองทุน Venture Capital และธุรกิจสตาร์ตอัพ

โดยมีกรอบการลงทุนใน 3 กลุ่มเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 1.เทคโนโลยีสนับสนุนอุตสาหกรรมและการผลิต (Manufacturing Technology) 2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Technology) ซึ่งครอบคลุมเรื่องกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสุขภาพหรือเฮลท์แคร์, ธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio Business), และ Circular Economy และ 3.เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านธุรกิจปิโตรเลียม และเทคโนโลยีที่สนับสนุนการลดการใช้น้ำ