ทาทาเตรียมตีตลาดยุโรป อานิสงส์สงครามรัสเซีย-ยูเครน

ทาทาสตีล (ประเทศไทย) เผยการบริโภคเหล็กในประเทศลด 14.3% ประเมินครึ่งปีหลังเศรษฐกิจส่อแววบวกทำโอกาสจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน เตรียมขยายส่งออกไปยุโรปอีก 2-3 หมื่นตัน เผยรายได้ปีงบฯ 2564/65 แตะ 32,590 ล้านบาท ทะลุ 1.33 ล้านตัน

วันที่ 25 เมษายน 2565 นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์เหล็กทั่วโลก ขณะนี้ราคาวัตถุดิบพุ่งขึ้นจากสงคราม ซึ่งผู้มีอิทธิพลหลักสำหรับราคาแร่เหล็ก คือ การผลิตเหล็กในประเทศจีน ขณะที่ราคาเศษเหล็กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังสงครามรัสเซีย-ยูเครน คาดว่าจะอยู่ใน ระดับสูง บวกกับราคาถ่านหินโค้กสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากการตัดอุปทานจากรัสเซีย เบื้องหลังการคว่ำบาตรและน้ำท่วมในออสเตรเลีย โดยในเดือน ม.ค.-ก.พ. การบริโภคเหล็กของประเทศไทยลดลง 14.3% เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น การขาดแคลนแรงงานในสถานที่ก่อสร้าง เงินเฟ้อสูง และความเชื่อมั่นที่อ่อนแอลง

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในเชิงบวก ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังของปีการเงิน 2565 จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ธุรกิจเหล็กลวดในประเทศยังคงแข็งแกร่งจากราคาต่างประเทศที่สูง การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและผู้ผลิตในอาเซียนหนีไปส่งออกเหล็กแท่ง

แต่ยังคงมีปัจจัยลบ ด้วยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากสงครามและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน จากข้อจำกัดด้านโควิดในจีน ส่งผลให้ต้นทุนการแปรสภาพและความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาเหล็กยังคงสูงขึ้น ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคจึงชะลอตัวลง โครงการก่อสร้างหลายโครงการมีราคาคงที่ ราคาบิลเลตระหว่างประเทศไม่ทำให้มีกำไรในการผลิตเหล็กเส้นของไทย จึงเพิ่มแรงกดดันในการจัดหาเศษเหล็ก

ส่วนการดำเนินงานของบริษัทยังคงส่งออกไปยังตลาดสำคัญคือแคนาดาถึง 28,000 ตัน ขณะที่ธุรกิจเหล็กลวดดำเนินการผลิตเต็มกำลัง โดยมีการติดตั้ง Final Electro Magnetic Stirrers ที่ NTS เพื่อปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ ส่วนการผลักดันด้านดิจิทัลของเรายังคงดำเนินต่อเนื่องในช่องทางการจำหน่ายเหล็กทาทาทางออนไลน์ คาดว่าปี 2565 นี้การบริโภคเหล็กในประเทศน่าจะอยู่ที่ 18.6-19 ล้านตัน

“ผลประกอบการปีงบการเงิน (เม.ย. 2564-มี.ค. 2565) อยู่ที่ 32,590 ล้านบาท ปริมาณ 1.33 ล้านตัน กำไร  2,606 ล้านบาท จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้เรามีโอกาสที่จะเจาะตลาดยุโรปเพิ่ม ซึ่งก็เป็นแนวทางเดียวกันกับอีกหลายประเทศจะทำกัน นับเป็นความท้าทายว่าเราจะผลิตส่งออกในปริมาณ 2-3 หมื่นตันไปยังยุโรปได้หรือไม่ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า”