
“จุรินทร์” เผย ผลสำเร็จการประชุม JTC ไทย-ภูฏาน ขยายความร่วมมือการค้าการลงทุน ดันส่งออกสมุนไพรและยาแผนโบราณไทย ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าเป็น 120 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568
วันที่ 28 เมษายน 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ภูฏาน (ระดับรัฐมนตรี) ครั้งที่ 4 ร่วมกับนายลินโป ล็อกนัท ชาร์มา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ หัวหน้าคณะผู้แทนภูฏาน เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ว่า การประชุมครั้งนี้ มีเป้าหมายเพิ่มการค้าระหว่างกันโต 120 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 จากปี 2564 มีมูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ ในที่ประชุมไทยได้ขอให้ภูฏานสนับสนุนการส่งออกสมุนไพรและยาแผนโบราณของไทย ทั้งการขึ้นทะเบียน การเปิดตลาดและการอำนวยความสะดวกในการนำเข้า ซึ่งจะเป็นเป้าหมายใหม่ในการส่งออกและถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ของสมุนไพรไทยและยาไทยแผนโบราณด้วย
ขณะเดียวกัน ไทยมี MOU ด้านหัตถกรรมกับภูฏาน ซึ่งได้หมดอายุเมื่อเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว จึงได้ขอให้ต่ออายุอีก 5 ปีนับจากวันที่หมดอายุ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมหัตถกรรมชุมชนหรือสินค้าชุมชนของสองประเทศทั้งการผลิตและการค้า และไทยมี MOU ด้านการท่องเที่ยวกับภูฏานฉบับปัจจุบัน ซึ่งใช้มา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2560 – มิถุนายน 2565
ซึ่งได้ขอให้ต่ออายุออกไปอีก 5 ปี โดยจากเดิมทำ MOU ระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับสภาการท่องเที่ยวภูฏาน จึงได้ขอเพิ่มหน่วยงานของไทย คือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.
และเสนอขอให้ภูฏานจับมือกับประเทศไทยทำเป็นแพ็กเกจทัวร์ โปรแกรมท่องเที่ยวร่วมกัน ซึ่งหากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาภูฏานสามารถมาที่ประเทศไทยได้ด้วย และนักท่องเที่ยวมาไทยสามารถไปที่ภูฏานได้ในแพ็กเกจเดียวกันหรือรายการทัวร์เดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ระหว่างการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ได้ขอให้ภูฏานกับไทยจับมือกันส่งเสริม Soft Power เป็นจุดขายสำคัญอีกจุดระหว่างกันเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งจะเน้นศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตทั้งเรื่องอาหาร และหัตถกรรม โดยเป็นการดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายังสองประเทศ
นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า ไทยได้เชิญนักธุรกิจภูฏานผ่านท่านรัฐมนตรีล็อกนัท ชาร์มา เข้าร่วมงาน THAIFEX -ANUGA Asia 2022 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียของประเทศไทย โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 พฤษภาคมนี้
และขอเชิญเข้าร่วมงาน The Marche by STYLE Bangkok ที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่น ระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคมนี้ รวมทั้งขอให้ช่วยสนับสนุนการจับคู่เจรจาการค้าระหว่างนักธุรกิจไทยกับภูฏานที่กระทรวงพาณิชย์จะจัดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน
ปัจจุบัน ภูฏานถึงช่วงเวลาในการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยว เพื่อประกอบการดำเนินการของนักธุรกิจไทยที่เดินทางไปลงทุนด้านโรงแรม อาหาร สปา และอื่น ๆ ซึ่งจะกำหนดแผนงานในการดำเนินธุรกิจได้ล่วงหน้า
ทางด้านรัฐมนตรีล็อกนัท ชาร์มา ได้หยิบยก 2 ประเด็นสำคัญ ในที่ประชุม ประเด็นแรก ภูฏานประสงค์จะขอทำการจัดทำความตกลงสิทธิพิเศษทางการค้า (Preferential Trade Agreement : PTA) ไทย-ภูฏาน ซึ่งเป็นการทำข้อตกลงการค้าเฉพาะด้านสินค้า ซึ่งปัจจุบันภูฏานมี PTA กับประเทศบังกลาเทศ เพียงประเทศเดียว
และประเด็นที่สอง ภูฏานประสงค์จะส่งออกผลไม้สำคัญ 3 รายการ คือ แอปเปิล ส้ม และมันฝรั่ง มาไทย ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังพิจารณาการทำผลการวิเคราะห์การปราศจากศัตรูพืชของผลไม้รายการเหล่านี้ เพื่อส่งเสริมการร่วมมือด้านการค้าระหว่างกัน
ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ได้ขอให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งพิจารณาเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นของภูฏานมายังประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคไทยต่อไป ทั้งนี้ ภูฏานทำการเกษตรวิถีใหม่เป็นการเกษตรปราศจากการใช้สารเคมี และการประชุม JTC ครั้งที่ 5 ประเทศภูฏานจะเป็นเจ้าภาพต่อไป
ประเทศภูฏานมีประชากรประมาณ 800,000 คน มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับภูฏานในปี 2564 มีมูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท เป็นการส่งออกจากประเทศไทยไปภูฏานเกือบทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยได้ดุลการค้าเกินดุลกับภูฏานประมาณ 2,096 ล้านบาท ขยายตัว 28.68%
สินค้าที่ไทยส่งออกไปภูฏาน ประกอบด้วย สิ่งทอ ผ้าผืนใหญ่สังเคราะห์ และเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่ารวมกันประมาณ 70% ของการส่งออกทั้งหมด สินค้าอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลไม้สด ผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง และผลไม้แห้ง
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ประเทศภูฏานส่งออกมาไทย คือ ผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น กาแฟ ชา เครื่องเทศ เยลลี่ผลไม้ และโลหะ ผลิตภัณฑ์จากโลหะซึ่งเป็นรูปหล่อขนาดเล็กทำด้วยทองแดง โดยนักธุรกิจไทยไปลงทุนภาคบริการในภูฏานหลายราย ทั้งกิจการโรงแรม ที่พัก สปาและร้านอาหาร