พาณิชย์-NEA ติดอาวุธผู้ส่งออก เจาะลึก 6 ตลาดระดับแสนล้าน

คอนเทนเนอร์ ส่งออก

สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) เดินหน้าติดอาวุธผู้ส่งออก “รู้ รับ ปรับตัว” ลุยเจาะตลาดต่างประเทศในยุคการค้าใหม่หลังวิกฤตโควิด–19 คิกออฟงานเสวนาแห่งปี “NEA BizTalk Series” : ก้าวทันการค้าโลก เจาะลึก 6 ตลาดส่งออกระดับแสนล้าน

วันที่ ​6 พฤษภาคม 2565 นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ภายใต้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดงานเสวนา “NEA BizTalk Series” : ก้าวทันการค้าโลก โครงการ “เจาะลึกตลาดต่างประเทศในยุคการค้าใหม่” ภายใต้โครงการพัฒนา SMEs ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ประจำปี 2565 ครั้งที่ 1 “เจาะลึกตลาดซาอุฯ มองทะลุตลาด MENA” เป้าหมายเพื่อขยายตลาดการค้า การส่งออก ภายใต้ปัญหาโควิด-19 ใน 6 ตลาดสำคัญ

“6 ตลาดสำคัญ ได้แก่ ตลาดตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย ตลาดเกาหลี ตลาดอินเดีย ตลาดอาเซียน ตลาดจีน ฮ่องกง และตลาดญี่ปุ่น”

จากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลกได้ฉุดเศรษฐกิจโลกให้ถดถอยอย่างรวดเร็ว และธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดประเทศชั่วคราวในแทบทุกประเทศ ส่งผลให้ส่งออกสินค้าไม่ได้ เกิดภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัว ส่งผลให้ราคาสินค้าในการส่งออกปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ตลอดจนส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก

ดังนั้น ผู้ส่งออกจำเป็นต้องคิดค้นกลยุทธ์เพื่อตั้งรับ ปรับตัว และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา งานเสวนาครั้งนี้จะทำให้ผู้ส่งออกนำความรู้ไปพัฒนาธุรกิจ เพื่อก้าวสู่โอกาสทางการค้าในเวทีตลาดโลกแล้ว ยังเพิ่มศักยภาพการส่งออกและสร้างรายได้เข้าประเทศไทยได้

ในปี 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกไปตลาดตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย มีมูลค่าประมาณ 8,850 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออก 3 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว และเครื่องปรับอากาศ ตลาดเกาหลี มูลค่า 5,882 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออก ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำตาลทราย และแผงวงจรไฟฟ้า ตลาดอินเดีย มูลค่า 8,534 ล้านเหรียญสหรัฐ

สินค้าส่งออก ได้แก่ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ และเคมีภัณฑ์ ตลาดอาเซียน มูลค่า 65,015 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ

ตลาดจีน ฮ่องกง มูลค่า 48,793 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์ยาง และตลาดญี่ปุ่น มูลค่า 24,985 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป และเคมีภัณฑ์ ซึ่งในทุกตลาดดังกล่าว มีอัตราการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายปณต บุณยะโหตระ กงสุล (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวว่า กลุ่มตลาด MENA หรือกลุ่มตะวันออกกลาง 15 ประเทศ และแอฟริกาเหนือ 7 ประเทศ มีประชากรประมาณ 650 ล้านคน มีสมาชิกกลุ่มประเทศ 22 ประเทศ เหตุที่รวมตลาดนี้เข้าด้วยกันเพราะ ความคล้ายคลึงทางด้านภาษาและศาสนา และความสัมพันธ์ของคนในภูมิภาค รวมไปถึงด้านการค้าขาย สังคม จึงทำให้กิจกรรมส่งเสริมการส่งออกรวมตลาดนี้เข้าด้วยกัน

ทั้งนี้ กรมมี 6 สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศที่ประจำในภูมิภาคนี้ และช่วยดู 22 ตลาด เมื่อดูตะวันออกกลาง ตลาดสำคัญ เช่น ดูไบ อีกทั้งไทยได้ฟื้นทางการทูตกับซาอุดีอาระเบีย สำหรับตลาดที่มีขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ เช่น อิหร่าน ตุรกี อิรัก ซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น


สำหรับตลาดยูเออี ตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของไทยมีสัดส่วน 30% ของการส่งออกมายังตลาด MENA เพราะเป็นศูนย์กลางของการส่งออกไปในประเทศอื่น ๆ ซึ่งยูเออี มีอยู่ทั้งหมด 7 รัฐ และในนั้นมีดูไบ ตลาดนี้มีความหลากหลาย การส่งออกสินค้าเข้ามาผู้ส่งออกจึงต้องรู้ว่าจะขายให้ใคร พร้อมกันนี้ ดูไบ กำลังฟื้นจากปัญหาโควิด-19 เป็นโอกาสที่ผู้ส่งออกจะขยายตลาด อีกทั้ง ปีนี้สำนักงานฯเตรียมกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อผลักดันการค้า การส่งออกของไทยในปี 2565 นี้