CPF ผนึก GUNKUL – CPP รุกอาหาร-เครื่องดื่มสารสกัดกัญชง

CPF ร่วมมือ GUNKUL และ CPP พัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชกัญชงครบวงจร จ่อเปิดตลาด “เครื่องดื่ม Functional Drink” ปลายปีนี้เพิ่มมูลค่าอาหารและเครื่องดื่ม

วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ผู้สื่อข่าว ”ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ นายสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาศัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ กันกุล

และนายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชกัญชงครบวงจร เพื่อเพิ่มมูลค่าอาหารและเครื่องดื่ม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงต้นทาง ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

โดยมี ดร.กัลกุล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการ นายโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายพงษ์สกร ดำเนิน ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ สายงานธุรกิจพลังงานและกัญชงกัญชา กันกุล พร้อมด้วย ดร.สมหมาย เตชะศิรินุกูล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซีพีเอฟ และนายสายัณห์ หงษา ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้

นายประสิทธิ์กล่าวว่า ซีพีเอฟในฐานะผู้นำในด้านการผลิตอาหารครบวงจร ให้ความสนใจพืชกัญชง ซึ่งมีศักยภาพเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ นำมาต่อยอดเป็นสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่มีมูลค่าสูงขึ้น รองรับความต้องการที่มีแนวโน้มเติบโตทั้งในและต่างประเทศ

ซึ่งความร่วมมือของ 3 องค์กรพันธมิตรในครั้งนี้ นำไปสู่การพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมสินค้าจากพืชกัญชงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ก้าวสู่การเป็น “ครัวของโลก” และช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจ รวมทั้งอุตสาหกรรมอาหารของไทยในภาพรวม

ดร.สมหมายกล่าวเสริมว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ช่วยสนับสนุนพันธกิจของซีพีเอฟในการพัฒนาอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากสารสกัดของพืชกัญชง ด้วยการควบคุมคุณภาพตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตตามมาตรฐานสากล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงต้นทาง ตั้งแต่สายพันธุ์ เทคนิคการปลูก การเก็บเกี่ยว การสกัดสาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย ตั้งเป้าผลิตภัณฑ์ตัวแรกจะเป็นเครื่องดื่ม Functional Drink ที่ให้ความสดชื่นและผ่อนคลาย คาดว่าจะวางจำหน่ายภายในปีนี้

นายสมบูรณ์กล่าวว่า บริษัท จี.เค.เฮมพ์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกันกุล ได้รับใบอนุญาตผลิตสารสกัดสำคัญจากพืชกัญชง (CBD) เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนตั้งแต่การปลูกในระบบโรงเรือนปิดที่ได้มาตรฐาน ด้วยวิธีปลูกแบบไม่ใช้ดิน ใช้น้ำที่กรองด้วยระบบ RO ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปราศจากการปนเปื้อนและสารตกค้าง สกัดสารจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้

ทั้งนี้ บริษัทวางแผนการลงทุน 3,000 ล้านบาท โดยทยอยลงทุนเฟสแรก 500 ล้านบาท และจะเพิ่มการลงทุนอีก 300 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานผลิตสารสกัดกัญชง กำลังการผลิต 200 กก./วัน เป็นโรงกลั่นเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และพัฒนาพื้นที่ปลูกที่ห้วยบง มากกว่า 40 ไร่ และจะขยายเพิ่มเป็น 100 ไร่

“บริษัททำงานร่วมกับ ซีพีเอฟ และซีพีพีอย่างใกล้ชิด เรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ เทคนิคการปลูกที่ดีที่สุด พื้นที่ที่ดีที่สุด ในการผลิตสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชง เพื่อการนำต่อยอดอาหารและเครื่องดื่มอย่างเหมาะสม ปลอดภัย เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค”

ด้านนายสุเมธกล่าวว่า ซีพีพี มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการผลิตต้นน้ำ จะเป็นผู้ดำเนินการจัดหาและพัฒนาสายพันธุ์กัญชงที่มีเอกลักษณ์ และใช้ระบบการเพาะปลูกที่เหมาะสม โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย อย่าง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อวิจัยการปลูกกัญชง ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ที่ดี วิธีการปลูก เทคนิคการดูแลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ

ความร่วมมือในครั้งนี้ ซีพีพีจะส่งมอบผลผลิตจากพืชกัญชงที่ปลูกในโรงเรือน Greenhouse ตามมาตรฐานการผลิตทางการเกษตรที่ดี (Good Agriculture Practices : GAP) เพื่อให้ผลผลิตที่ได้มีความปลอดภัย และร่วมมือกับ GUNKUL แปรรูปเป็นสารสกัด CBD ที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มต่อไป

“มูลค่าตลาดสินค้ากัญชงมีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของไทยที่เอื้ออำนวย ทำให้มีศักยภาพด้านการเพาะปลูกและการผลิตสูง รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพ ปลอดภัย มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก


ดังนั้น ความร่วมมือของ 3 องค์กรในครั้งนี้ จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิต ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมอาหารของไทยบนเวทีตลาดโลก และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ”