PTG เผยรายได้ไตรมาส 1/65 โต 21% ขึ้นแท่นมาร์เก็ตแชร์ปั๊ม LPG อันดับ 1

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG

PTG โชว์รายได้ไตรมาส 1 ปี 2565 กว่า 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% ครองส่วนแบ่งขายแก๊ส LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับหนึ่ง คงเป้า EBITDA โต 15-20% หลังค่าการตลาดฟื้นตัว และธุรกิจ Nonoil เติบโตดี เล็งเพิ่มสัดส่วนกำไรธุรกิจ Nonoil เป็น 50%

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 3.90 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.70 พันล้านบาท หรือ 20.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากรายได้ธุรกิจน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 19.8% จากปีก่อน จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง โดยธุรกิจน้ำมันมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 95.4% เมื่อเทียบจากรายได้รวม

พิทักษ์ รัชกิจประการ

และมีรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Nonoil) อยู่ที่ 1.80 พันล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 44.1% และคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 4.6% เมื่อเทียบจากรายได้รวม นับเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายสาขาปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 1,228 สาขา เพิ่มขึ้น 255 สาขา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับต้นทุนการขายและการให้บริการ อยู่ที่ 3.64 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.96 พันล้านบาท หรือ 23.6%

เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับนโยบายของภาครัฐในการขอความร่วมมือจากบริษัทผู้ค้าปลีกน้ำมัน ให้รักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลเพื่อช่วยลดภาระแก่ผู้บริโภค ทำให้บริษัทไม่สามารถปรับราคาขายปลีกให้เหมาะสมกับต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) อยู่ที่ 1.26 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 163 ล้านบาท ลดลง 368 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ค่าการตลาดมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา จากนโยบายบริหารโครงสร้างราคาน้ำมันผ่านกองทุนน้ำมันจากทางภาครัฐตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565

สำหรับปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในไตรมาสนี้ อยู่ที่ 1,264 ล้านลิตร ลดลง 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้บริษัทยังรักษาส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เป็นอันดับ 2 ด้านปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG นั้น อยู่ที่ 106 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 69.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายแก๊ส LPG โดยมีมาร์เก็ตแชร์ผ่านการจำหน่ายในทุกช่องทาง อันดับ 5 คิดเป็นสัดส่วน 6.5% และมีมาร์เก็ตแชร์ผ่านช่องทางการจำหน่ายในสถานีบริการ (ป้๊มน้ำมัน) เป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 23.8%

ขณะที่แนวโน้มการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ไป บริษัทยังมุ่งเน้นผลักดันธุรกิจ Nonoil ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ พร้อมกับการขยายการให้บริการได้อย่างทั่วถึง อาทิ การขยายธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย เข้าไปในบริเวณใจกลางเมืองมากขึ้น เช่น ย่านสีลม, ช่องนนทรี และย่านเจริญนคร ที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม เป็นต้น เพื่อรองรับกลุ่มคนเมืองมากขึ้น อีกทั้งเพื่อรองรับ Lifestyle ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลังจากที่เปิดให้บริการไปแล้วพบว่ามีการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีการเปิดตัวโครงการ PT Max Park ศาลายา สถานีบริการครบวงจรแห่งแรก ซึ่งประกอบไปด้วย ด้วยสถานีบริการน้ำมันที่ออกแบบให้มีความทันสมัย พร้อมติดตั้งหัวจ่ายน้ำมันระบบดิจิทัลรวม 30 หัวจ่าย เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณผู้มาใช้บริการสถานีบริการน้ำมันในช่วงเวลาเร่งรีบได้อย่างเพียงพอ และบริษัทยังได้ให้ความสำคัญกับการให้บริการของพนักงานต่อผู้มาใช้บริการเป็นอย่างมาก

โดยจัดให้มีพนักงาน PT Service Master เข้ามาอำนวยความสะดวกในส่วนของการให้บริการจำหน่ายน้ำมัน โดย PT Service Master ซึ่งพนักงานทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษ

ขณะที่ภายในยังมี PT Max Park ศาลายา ซึ่งประกอบไปด้วยร้านค้าในเครือของบริษัทเอง เช่น ร้านกาแฟพันธุ์ไทย, ร้าน Coffee World, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart, ร้านจำหน่ายยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ Nexx Pharma ร้านจำหน่ายแก๊สหุงต้ม Max Gas และศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ขนาดเล็ก Autobacs และยังมีร้านค้าพันธมิตรอีกมากมาย เช่น McDonald’s และ Otteri Wash เป็นต้น  อีกทั้งยังมีสถานที่นั่งทำงาน หรือ Coworking Space สำหรับรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่และชุมชนโดยรอบอีกด้วย

“โครงการ PT Max Park ศาลายาแห่งนี้ บริษัทเชื่อว่าจะเป็นต้นแบบของสถานีบริการ PT ในอนาคต โดยมีเป้าหมายที่จะขยายสถานีบริการครบวงจรไปยังทำเลที่มีศักยภาพต่างๆอย่างต่อเนื่อง ตามถนนสายหลักของประเทศไทยในอนาคต” นายพิทักษ์กล่าว

นายพิทักษ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล, ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ ธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ และธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน ผ่านการขยายสาขาและเพิ่มจุดให้บริการมากยิ่งขึ้น รวมถึงบริษัทเตรียมการร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มรายได้จากธุรกิจดังกล่าว

โดยยังคงงบฯลงทุนในธุรกิจ Nonoil และธุรกิจใหม่อยู่ที่ 1,500-2,000 ล้านบาท และตั้งเป้าในการเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจดังกล่าว คิดเป็น 50% ของกำไรทั้งหมด

“ปัจจุบันในไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีสาขา Nonoil รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,228 สาขา แบ่งเป็นสถานีบริการแก๊ส LPG จำนวน 223 สาขา, สถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging) จำนวน 17 สาขา, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย จำนวน 358 สาขา, ร้านกาแฟคอฟฟี่ เวิลด์ (ในประเทศ และต่างประเทศ) จำนวน 34 สาขา, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart  จำนวน 277 สาขา,

ร้านจำหน่ายแก๊ส LPG ครัวเรือน 193 สาขา, ศูนย์บริการซ่อมแซมบำรุงรักษา รถยนต์ Autobacs จำนวน 34 สาขา, ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมัน Maxnitron Lube Change จำนวน 40 สาขา และ Max Camp (Rest Area)  จำนวน 52 สาขา โดยปีนี้ยังคงเป้า EBITDA โต 15-20%” นายพิทักษ์กล่าว