SCลุยท่อส่งน้ำมันอีสานคาดEIAฉลุยเปิดบริการปี”64

เอสซี กรุ๊ป เดินหน้าโปรเจ็กต์ท่อน้ำมันขึ้นอีสาน มูลค่า 12,000 ล้านบาท เปิดรับฟังความเห็นรวม 2 ครั้ง คาดเสนอแบบประเมิน EIA ให้ สผ.พิจารณาช่วงกลางปี”61ได้ คาดเริ่มขนถ่ายน้ำมันได้ปี”64 มองรถยนต์ไฟฟ้ามาแน่แต่ใช้อย่างน้อย 10 ปี มั่นใจดีมานด์ทั้งในประเทศและเพื่อนบ้านขยายตัวเพิ่ม

นายณัฐพงษ์ รัตนสุวรรณทวี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและร่วมทุน บริษัท เอสซี กรุ๊ป จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าโครงการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการจัดทำแบบประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยการเปิดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่มีท่อพาดผ่านรวมทั้งสิ้น 2 ครั้ง และยังไม่พบปัญหาต่อต้านจากประชาชนในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีมาตรฐานสากลซึ่งมั่นใจได้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบ และหลังจากนี้จะรวบรวมรายละเอียดทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2561 นี้ ในขณะเดียวกันเอสซี กรุ๊ป ได้ดำเนินการออกแบบและเตรียมการก่อสร้างคู่ขนานไปด้วยเช่นกัน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท และตามแผนคาดว่าจะเริ่มขนถ่ายน้ำมันได้ภายในปี 2564 ทั้งนี้ เส้นทางการวางท่อส่งน้ำมันจะขนานไปกับทางหลวงและทางหลวงชนบทผ่าน 5 จังหวัด รวมระยะทาง 350 กิโลเมตร คือ สระบุรี, ลพบุรี, นครราชสีมา และชัยภูมิ ปลายทางท่อส่งน้ำมันอยู่ที่คลังน้ำมันขอนแก่น อำเภอบ้านไผ่ (คลังมีความจุอยู่ที่ 115 ล้านลิตร)

ทั้งนี้ สำหรับกระแสของรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะเริ่มขยายตัวและเข้ามาทำตลาดในประเทศตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป อาจจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงนั้น เอสซี กรุ๊ป มองว่า คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปีที่รถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันได้ทั้งหมด ซึ่งหากย้อนไปในอดีตที่ภาครัฐส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ยังต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี กว่าที่จะมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายเครือข่ายสถานีบริการเพื่อรองรับความต้องการใช้ อย่างไรก็ตามในการผลิตไฟฟ้าก็ยังคงใช้เชื้อเพลิงในฟอสซิลอยู่ดี นอกจากนี้

การวางท่อน้ำมันของเอสซี กรุ๊ป นั้นไม่ได้รองรับเฉพาะความต้องการใช้ในประเทศ ยังมีแผนที่จะวางท่อน้ำมันต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น สปป.ลาว เนื่องจากคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่จะขยายตัวเช่นกัน

“เรื่องเทรนด์ของรถไฟฟ้ายอมรับว่าคงจะส่งผลกระทบบ้าง แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะได้รับความนิยมหรือไม่ แต่หากมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ อุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะได้รับผลกระทบก่อนเป็นอันดับแรก แต่ยังเชื่อมั่นว่ายังคงมีการใช้น้ำมันอยู่ แต่อาจจะต้องปรับตัวทางธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเอสซี กรุ๊ป มีธุรกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่การขนส่งทางรถ ทางเรือ เช่น เรือทรักเพื่อสนับสนุนกิจการปิโตรเลียมในอ่าวไทย และล่าสุดคือธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อ”

นายณัฐพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการวางท่อส่งน้ำมันดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ต้องการให้ทั้งภาครัฐหรือเอกชนขยายท่อส่งน้ำมันไปยังระดับภูมิภาคมากขึ้น เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ลดต้นทุนการขนส่งทำให้ราคาน้ำมันในภูมิภาคใกล้เคียงกับราคาน้ำมันในกรุงเทพฯ ช่วยลดปัญหาการจราจรรวมถึงลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นบนท้องถนนจากการขนส่งด้วยรถยนต์ ทั้งนี้ สำหรับคลังน้ำมันของโครงการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเอสซี กรุ๊ปนั้น อยู่บนพื้นที่ 180 ไร่ ที่ความจุประมาณ 115 ล้านลิตร โดยสามารถรองรับการจัดเก็บน้ำมันพื้นฐานดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันเบนซินพรีเมี่ยม

อนึ่ง บริษัท เอสซี กรุ๊ป มี 3 กลุ่มธุรกิจคือ กลุ่มธุรกิจมารีน ให้บริการปฏิบัติงานนอกชายฝั่งทะเล (สำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย) บริการให้พื้นที่และคลังสินค้าธุรกิจออฟชอร์ ซ่อม-สร้างและงานวิศวกรรม กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ บริการขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ ท่าเรือและบริการขนส่งทางรถยนต์ และกลุ่มธุรกิจการค้าและอื่น ๆ เช่น ค้าสารเคมี บริการคลังเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และสถานีบริการ LPG ฯลฯ