ประกันปี 4 ชาวนาติดใจขอเพิ่มเงินชดเชย

ประกันราคาพืช

ชำแหละงบฯประกันรายได้รัฐบาลประยุทธ์ 3 ปี 250,000 ล้านบาทกับ 5 พืชเศรษฐกิจหลัก สถานการณ์ช่วยตลาดโลกราคาดี ส่งผล “ยาง-มัน-ปาล์ม-ข้าวโพด” ช่วงท้ายไม่ต้องจ่ายเงินประกัน แต่ต้นทุนปุ๋ยพุ่งพรวด ส่วนข้าวรัฐบาลอ่วมสุดต้องจ่ายประกันทะลุ 150,000 ล้านบาท ช่วยชาวนา แต่ไม่ช่วยการส่งออกเพราะแก้ปัญหาไม่ถูกจุดแนะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ลดต้นทุน พร้อมพัฒนาพันธุ์ใหม่ช่วยกู้ตลาดส่งออกรับวิกฤตอาหารขาดแคลน

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานภาพรวมงบประมาณในการประกันรายได้ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใน 3 ปีที่ผ่านมากับสินค้าเกษตร 5 รายการ (ข้าว-ยางพารา-มันสำปะหลัง-ปาล์มน้ำมัน-ข้าวโพด) ปรากฏใช้งบประมาณไประหว่าง 250,000-260,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การดำเนินโครงการประกันรายได้ปีที่ 1 งบฯรวมทั้งสิ้น 71,204 ล้านบาท ใช้จ่ายจริง 59,824 ล้านบาท คงเหลือ 11,380 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน 7,303 ล้านครัวเรือน จ่ายให้จริง 3,693 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น

1) ประกันข้าว จ่ายเป็นเงิน 19,413.14 ล้านบาท จากงบประมาณ 20,940 ล้านบาท คงเหลือ 1,527 ล้านบาท 2) ยางพารา จ่ายเป็นเงิน 24,172.44 ล้านบาท จากงบประมาณ 25,819 ล้านบาท คงเหลือ 1,647 ล้านบาท 3) มันสำปะหลัง จ่ายเป็นเงิน 7,964.49 ล้านบาท จากงบประมาณ 9,890 ล้านบาท คงเหลือ 1,926 ล้านบาท 4) ข้าวโพด จ่ายเป็นเงิน 1,052.78 ล้านบาท จากงบประมาณ 1,552 ล้านบาท คงเหลือ 500 ล้านบาท และ 5) ปาล์ม จ่ายเป็นเงิน 7,221.23 ล้านบาท จากงบประมาณ 13,000 ล้านบาท คงเหลือ 5,778 ล้านบาท

การดำเนินโครงการประกันรายได้ปีที่ 2 งบฯรวมทั้งสิ้น 75,166 ล้านบาท ใช้จ่ายจริง 60,619 ล้านบาท คงเหลือ 14,547 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน 7,866 ล้านครัวเรือน จ่ายให้จริง 7,008 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น 1) ประกันข้าว จ่ายเป็นเงิน 48,178.36 ล้านบาท จากงบประมาณ 49,509 ล้านบาท คงเหลือ 1,331 ล้านบาท 2) ยางพารา จ่ายเป็นเงิน 7,553.75 ล้านบาท จากงบประมาณ 9,718 ล้านบาท คงเหลือ 2,167 ล้านบาท 3) มันสำปะหลัง จ่ายเป็นเงิน 3,652.15 ล้านบาท จากงบประมาณ 9,570 ล้านบาท คงเหลือ 5,918 ล้านบาท 4) ข้าวโพด จ่ายเป็นเงิน 1,234.77 ล้านบาท จากงบประมาณ 1,867 ล้านบาท คงเหลือ 633 ล้านบาท และ 5) ปาล์ม ไม่ได้จ่ายเงินประกัน เนื่องจากราคาตลาดสูงกว่าราคาประกันจากงบประมาณที่ตั้งไว้ 4,500 ล้านบาท คงเหลือ 4,500 ล้านบาท

ล่าสุดการดำเนินโครงการประกันรายได้ปีที่ 3 ใช้งบฯรวมทั้งสิ้น 113,315 ล้านบาท ใช้จ่ายจริง 88,385 ล้านบาท คงเหลือ 24,930 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน 7,925 ล้านครัวเรือน จ่ายให้จริง 6,254 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น 1) ประกันข้าว จ่ายแล้ว 28 งวด เป็นเงิน 86,114 ล้านบาท จะสิ้นสุดโครงการในเดือน พ.ค. 65 จากนั้นจะทยอยจ่ายอีกจนครบ 33 งวด เป้าหมาย 87,532 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงเหลือ 1,417 ล้านบาท 2) ยางพารา จ่ายไปแล้ว 6 งวด เป็นเงิน 2,271.24 ล้านบาท จะสิ้นสุดโครงการ ก.ย. 65

แต่จ่ายเงินครบแล้วให้กับผู้ขึ้นทะเบียนทั้งหมด จากเป้าหมาย 9,783 ล้านบาท มีเงินคงเหลือ 7,512 ล้านบาท 3) มันสำปะหลัง สิ้นสุดโครงการ พ.ย. 65 ต้องจ่าย 12 งวด ประกาศไปแล้ว 6 งวด งบประมาณ 6,675 ล้านบาท คงเหลือเท่าเดิม 4) ข้าวโพด สิ้นสุดโครงการ ต.ค. 65 ต้องจ่าย 12 งวด ประกาศไปแล้ว 6 งวด งบประมาณ 1,824 ล้านบาท คงเหลือเท่าเดิม และ 5) ปาล์ม จะสิ้นสุดโครงการ ส.ค. 65 ต้องจ่าย 12 งวด ประกาศไปแล้ว 8 งวด งบประมาณ 7,500 ล้านบาท คงเหลือเท่าเดิม

ADVERTISMENT

จะเห็นได้ว่า มีสินค้าเกษตร 3 ประเภท ได้แก่ มันสำปะหลัง, ข้าวโพด และปาล์ม ยังไม่มีการจ่ายชดเชยเพราะราคาตลาดสูงกว่าราคาประกัน ขณะที่สินค้าข้าวเป็นสินค้าประเภทเดียวที่มีการจ่ายชดเชยประกันรายได้สูงสุดกว่า 150,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ประกันช่วยดันราคาในประเทศ

แต่เมื่อตรวจสอบย้อนกลับถึงราคาสินค้าเกษตร 5 ประะเภทในโครงการประกันรายได้ เทียบกับโครงการตามมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาลก่อนหน้านี้ โดยเทียบ ณ เดือนมิถุนายน 2565 ช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า 1) ราคาข้าวเปลือกเจ้าที่ตั้งราคาประกันตันละ 10,000 บาทนั้น ราคาปัจจุบันอยู่ระหว่าง 9,400-9,500 บาท/ตันข้าวเปลือก หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีราคา 7,600-7,800 บาท/ตันข้าวเปลือก ส่วนราคาข้าวหอมมะลิที่ตั้งราคาประกันตันละ 15,000 บาท ปัจจุบันมีราคาตลาดที่ 15,000-16,500 บาท/ตันข้าวเปลือก หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่ราคาตันละ 13,000-13,200 บาท/ตันข้าวเปลือก

2) ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ตั้งราคาประกัน 8.50 บาท/กิโลกรัม ราคาตลาดปัจจุบัน 2565 ราคา 8.75-12.25 บาท/กิโลกรัม ก่อนโครงการประกันรายได้ปี 2557 ราคา 7.17 บาท/กิโลกรัม 3) ราคาปาล์มน้ำมัน ตั้งราคาประกัน 4.50 บาท ราคาปัจจุบันเฉลี่ย 9-30-10.30 บาท/กิโลกรัม หรือก่อนโครงการประกันรายได้ ปี 2557 มีราคา 5.30 บาท/กิโลกรัม 4) ราคายางพารา หากเทียบเฉพาะน้ำยางสด (DRC 100%) ที่ตั้งราคาประกันราคา 57 บาท/กิโลกรัม จะพบว่าราคาน้ำยางสดโดยเฉลี่ยปัจจุบัน 2565 ราคาเท่ากับ 64.55 บาท/กิโลกรัม จากก่อนโครงการประกันรายได้ปี 2557 ราคา 55.25 บาท/กิโลกรัม และ 5) ราคามันสำปะหลัง ตั้งราคาประกันไว้ 2.50 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบัน 2565 ราคา 2.30-3.30 บาท/กิโลกรัม จากก่อนโครงการประกันรายได้มีราคา 2.70 บาท/กิโลกรัม

เกษตรกรขอปรับขึ้นราคาประกัน

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวหลังจากโครงการประกันรายได้ข้าวปีที่ 3 จบโครงการลงเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ทางสมาคมมีความเห็นว่า รัฐบาลควรที่จะดำเนินโครงการประกันรายได้ข้าวปีที่ 4 ต่อเนื่อง และยังต้องการดำเนินโครงการอย่างยั่งยืนตลอดไป โดยสมาคมไม่ต้องการเห็นการเปลี่ยนรัฐบาลแล้วจะนำมาซึ่งการปรับนโยบายทุกครั้ง

ล่าสุดภายหลังจากจบโครงการประกันรายได้ สมาคมมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอให้เดินหน้าโครงการประกันรายได้ปีที่ 4 ต่อไป พร้อมทั้งขอให้พิจารณา “ปรับราคาประกันรายได้ข้าว 5 ชนิดใหม่” เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ปัจจุบันต้นทุนการเพาะปลูกข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 4,500-5,000 บาท/ไร่ และหากราคาน้ำมันจะยังคงพุ่งขึ้นสูงต่อเนื่องก็จะส่งผลไปถึงราคาปุ๋ย ซึ่งเป็นต้นทุนการเพาะปลูกที่สำคัญ โดยมีแนวโน้มว่าต้นทุนการผลิตอาจจะขึ้นไปถึง 5,000-6,000 บาทต่อไร่

ด้านนายรังษี ไผ่สอาด นายกสมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการประกันรายได้มันสำปะหลังใน 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นโครงการที่ดี ช่วยเกษตรกรให้มีรายได้ ไม่ถูกกดดันราคา แต่หากรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการต่อในฤดูกาลผลิตปี 2565/2566 มองว่า ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสะท้อนราคาที่แท้จริง เพราะราคามันสำปะหลังในปีนี้ ราคาดีอยู่ที่ 2.90 บาท/กิโลกรัม

ส่วนนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) กล่าวว่า ช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก โรงงานผลิตภัณฑ์ยางหลายโรงปิด แต่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง มีการเปิดประเทศแล้ว ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งรัดผลักดันก็คือ “การสนับสนุนสวนยางรายย่อย วิสาหกิจชุมชน หรือผู้ประกอบการ SMEs” ให้เพิ่มมูลค่ายาง ทำผลิตภัณฑ์ตามนโยบายยุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อสนับสนุนการใช้ยางในประเทศมากขึ้น เพราะเป็นโอกาสเพิ่มราคายางจะทำให้ราคายางจะขึ้นเกิน 60 บาท/กก.

“ดังนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องประกันราคายางอีก ซึ่งการประกันราคาสูญเสียงบประมาณมาก ผมเสนอรัฐให้เพิ่มมูลค่ายาง โดยนำยางมาทำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง SMEs หรือวิสาหกิจชุมชน ก็จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด” นายอุทัยกล่าว

นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการประกันรายได้ปาล์มปีที่ 3 เริ่ม 1 กันยายน 2564 ถึง 31 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมาตั้งราคาประกันไว้ที่ 4.50 บาท แต่ต้นทุนเกษตรกรปรับสูงขึ้นจากราคาปุ๋ย ดังนั้นหากรัฐบาลจะประกันรายได้ต่อไปเป็นปีที่ 4 ก็ควร “ปรับราคาประกันเพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท” ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาปรับขึ้นราคาประกันขึ้นอยู่กับกระทรวงพาณิชย์ ส่วนการคำนวณต้นทุนของเกษตรกรขึ้นอยู่กับทางสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

“ก่อนหน้านี้ราคาตลาดปาล์มน้ำมันจะขยับสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยขึ้นไปถึง กก.ละ 13 บาท แต่ต้นทุนชาวสวนปาล์มก็ปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปีเช่นกัน จากเดิมที่ต้นทุนการผลิตผลปาล์มเฉลี่ย กก.ละ 3.18-3.78 บาท เพิ่มเป็น กก.ละ 5-6 บาท”

ส่งออกข้าวไทยร่วงอันดับ 3

ส่วนภาพรวมการประกันรายได้ ซึ่งจะส่งผลไปถึงการส่งออกข้าวไทยนั้น ภาพรวมการส่งออกข้าวไทยหลังจากปี 2557 ทำได้ 10.8 ล้านตัน และขยับเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อปี 2560 (ก่อนเริ่มประกันรายได้) มีปริมาณ 11.63 ล้านตัน หลังจากนั้นก็ลดลง
เรื่อยจนต่ำสุดในปี 2563 ที่ปริมาณ 5.72 ล้านตัน จนทำให้ประเทศไทยกลาย
เป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 3 รองจากอินเดีย และเวียดนาม

ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมการส่งออกข้าว 4 เดือน ทำได้ 2.29 ล้านตัน คาดว่าสถานการณ์วิกฤตอาหารน่าจะทำให้การส่งออกข้าวปีนี้อยู่ที่ประมาณ 7 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ส่งออกได้ 6.12 ล้านตัน ส่วนคู่แข่งอินเดียคาดว่าจะส่งออกข้าวได้ 22 ล้านตัน หรือเป็นอันดับ 1 ส่วนเวียดนามนั้น “สูสีกับไทยมาก” เพราะ 4 เดือนแรก ตัวเลขทางการเวียดนามแจ้งไว้ 1.85 ล้านตัน แต่มีตัวเลขค้าชายแดนผ่านเข้าจีนอีกน่าจะประมาณ 100,000 ตัน รวมแล้วเวียดนามน่าจะส่งออกไปแล้ว 228,000 ตัน

“โครงการประกันรายได้เป็นการการันตีรายได้เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกร แต่ควรใช้ระยะสั้นและทำควบคู่กับการแก้ปัญหาที่แท้จริงของอุตสาหกรรมว่า อยู่ที่ตรงไหน ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยมันด้อยลงไปเรื่อย ๆ เพราะข้าวที่ผลิตออกมายังไม่ตรงความต้องการของตลาด เรายังต้องการการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ การเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดต้นทุนการผลิต ตอนนี้ไทยเป็นประเทศที่มีผลผลิตข้าวต่อไร่ต่ำที่สุด สมมุติเวียดนามปลูกได้ไร่ละ 1 ตัน ไทยปลูกได้แค่ไร่ละ 500 กก.เท่านั้น และยิ่งเป็นข้าวหอมมะลิ 370 กก./ไร่ เมื่อเทียบเป็นต้นทุนแล้วเราแพงกว่ามาก แต่จะไปปรับราคาขึ้นตามต้นทุนก็แข่งขันไม่ได้ ในอนาคตไทยต้องพยายามลดการใช้โครงการประกันรายได้และทำให้เกษตรกรเข้มแข็ง” ร.ต.ท.เจริญกล่าว

ด้านนายรังสรรค์ สบายเมือง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า การประกันรายได้ข้าวถือว่า “ดีในแง่การไม่เข้ามาแทรกแซงกลไกตลาด ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจค้าข้าวได้ตามปกติ” แต่ในอีกด้านหนึ่งมันเหมือนการใช้งบประมาณที่มาจากภาษี “มันหายไปเลย ไม่ได้พัฒนาในส่วนการผลิต” แม้ว่าจะมียุทธศาสตร์ข้าว 5 ปี แต่ยังไม่มีผลทางปฏิบัติ ส่วนการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ยังทำได้ล่าช้า และการทดลองปลูกยังทำในพื้นที่จำกัด ปริมาณผลผลิตยังน้อยไม่สามารถจะต่อยอดไปสู่การส่งออกได้

“โรงสีสามารถสีข้าวได้ทุกแบบ แต่ในพื้นที่ปลูกข้าวเท่าเดิม เรามีการปลูกหลายพันธุ์ มีข้าวขาวพื้นนุ่มส่งมาสี ซึ่งข้าวนี้เราดีกว่าข้าวขาว ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกมากขึ้น มันก็จะไปกระทบต่อการผลิตข้าวนึ่งของเราจะไม่มีวัตถุดิบ และอาจจะไปผสมแฝงอยู่ในข้าวนึ่งก็กลายเป็นการลดทอนคุณภาพข้าวนึ่งอีก ซึ่งขณะนี้เริ่มมีลูกค้าตลาดข้าวนึ่งท้วงติงมาบ้างแล้ว”