เผยผลสำรวจรับวันครู ชี้เด็กไทยอยากได้ความใส่ใจจากครู-ไม่ลำเอียง

เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายอมรวิชช์ นาครทรรพ หัวหน้าคณะวิจัยโครงการวิจัยปฏิบัติการโรงเรียนพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการแถลงข่าวผลสำรวจ Gap ในห้องเรียนไทย พร้อมเปิดความสำเร็จโครงการ sQip เปลี่ยนห้องเรียนไทยให้ “เรียนสุข สนุกสอน” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับ สกว., สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), จุฬาฯ, ศูนย์จิตวิทยาการศึกษา, มูลนิธิยุวสถิรคุณ และมหาวิทยาลัยนเรศวร ว่า จากผลสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน และครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และตัวแทนชุมชน กลุ่มตัวอย่างประมาณ 24,000 คน แบ่งเป็น นักเรียนชั้น ป.6, ม.3 และ ม.6 จำนวน 10,000 คน กลุ่มครู 4,000 คน กลุ่มผู้บริหาร 200 คน จากโรงเรียนขนาดกลาง 110 แห่ง กลุ่มผู้ปกครอง 9,000 คน และกลุ่มตัวแทนชุมชน 800 คน พบว่า 4 เรื่องใหญ่ในมุมมองเด็กไทยที่มีผลต่อการเรียน คือ 1.เด็กๆ อยากได้ความใส่ใจเป็นรายบุคคลจากคุณครู อยากมีครูคนโปรดที่สนิทเป็นพิเศษ และอยากได้ความใส่ใจอย่างเท่าเทียม ไม่ลำเอียงจากครู 2.นิสัย และพฤติกรรมการเรียนของเด็กยังต้องพัฒนาด้วย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม การอ่านการค้นคว้า การทำการบ้าน ไปจนถึงการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 3.ครอบครัวให้เวลาใส่ใจกับการเรียนของเด็กน้อยไป และ 4.ความสัมพันธ์กับเพื่อน เช่น ความรู้สึกเป็นที่ยอมรับ การมีเพื่อนพูดคุยปรึกษาปัญหาต่างๆ ไปจนถึงการที่เด็กๆ สามารถช่วยติวกันเองได้

นายอมรวิชช์กล่าวอีกว่า ส่วน 4 เรื่องใหญ่ในมุมมองของครูที่มีผลต่อการสอน คือ 1.ครูไม่มั่นใจในความรู้ความสามารถของตนบางเรื่อง 2.ปัญหาช่องว่างระหว่างผู้บริหารที่ยังมีอยู่บ้าง 3.ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้ปกครองที่ครูไม่มั่นใจนัก ขาดความคุ้นเคยสนิทสนม และ 4.ความสัมพันธ์ระหว่างครูด้วยกันก็ยังมีเรื่องให้เติมเต็ม ส่วน 4 เรื่องใหญ่ในมุมของพ่อแม่ คือ 1.ไม่มีเวลาใส่ใจการเรียนลูก 2.รู้สึกห่างเหินจากโรงเรียน ไม่มีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ 3.ความมั่นใจต่อโรงเรียนในบางเรื่องได้รับผลกระทบ และ 4.ความมั่นใจในการสอนของครูลดน้อยลง

นายอมรวิชช์กล่าวว่า การสำรวจยังพบช่องว่างระหว่างครู และนักเรียนที่เป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ได้แก่ 1.ครูปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม 2.การรู้จุดเด่น หรือความสามารถของนักเรียนรายคน 3.การให้เวลาพูดคุย หรือปรึกษาปัญหากับนักเรียน ส่วนช่องว่างระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองที่เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ได้แก่ 1.การถูกกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน 2.การพูดคุยเล่าปัญหาระหว่างผู้ปกครอง และบุตร 3.การให้เวลาช่วยบุตรหลานทำการบ้าน ช่องว่างระหว่างครูกับผู้ปกครองที่เป็นปัญหา ได้แก่ 1.การให้เวลาพูดคุย และปรึกษาปัญหา 2.การรู้จุดเด่น และความสามารถของผู้เรียนรายคน สุดท้ายช่องว่างระหว่างครูกับผู้บริหาร ได้แก่ 1.การยอมรับในความสามารถของครู 2.การให้โอกาสครูในการมีส่วนร่วมต่อการบริหาร

นายนคร ตังคะพิภพ หัวหน้าโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการโรงเรียนพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง หรือ sQip กล่าวว่า ข้อค้นพบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการศึกษาไทย แต่เป็นประเด็นสำคัญที่สังคมควรแลกเปลี่ยน และหาทางออกที่ยั่งยืนร่วมกัน จากการศึกษาของศาสตราจารย์ John Hattie พบว่า Super Factor หรือปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพการเรียนการสอนมากที่สุดคือ ความร่วมมือร่วมใจของครู ผู้บริหาร บุคลากรในสถานศึกษาทั้งหมดที่จะช่วยกันพัฒนาโรงเรียนโดยมุ่งเป้าไปที่ผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นเป้าหมายของโครงการ sQip ที่ดำเนินการมา 1 ปี ในโรงเรียนขนาดกลาง 201 โรงเรียน ใน 14 จังหวัดทั่วประเทศ ในอนาคตจะเป็นพื้นฐานการยกระดับคุณภาพต่อเนื่องให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข โดยแนวคิดของโครงการคือ ห้องเรียนเป็นฐาน กระบวนการเป็นทุน ประกอบด้วยปัจจัย 4 ด้าน คือ พ่อแม่/ ผู้ปกครอง ครู นักเรียน โรงเรียน ซึ่งโครงการเข้าไปสนับสนุนให้เกิดกระบวนการพัฒนา 2 ด้าน คือ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หรือ PLC ของโรงเรียน และสร้าง Growth Mindset หรือกรอบคิดแบบเติบโต ให้กับบุคลากรในโรงเรียน

นางณิชนันทน์ ศรีวลีรัตน์ อาจารย์กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ โรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา 1 ในต้นแบบห้องเรียน sQip “เรียนสุข สนุกสอน” กล่าวว่า ยอมรับว่าเจอปัญหาในการสอนอยู่ตลอด เพราะนักเรียนแต่ละคนแตกต่างกัน แต่จะไม่เลือกปฏิบัติ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู ครูกับเด็กต้องมีความรัก และความอาทร เป้าหมายต้องทำให้เด็กทุกคนได้ความรู้ ถ้าเด็กไม่ได้ก็จะไม่กดดัน ต้องหาแนวทาง เทคนิคการสอนที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ เปิดใจให้เด็กเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

น.ส.สุนิสา เสรีรัตนพร นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา กล่าวว่า ยอมรับว่าช่องว่างระหว่างครู และนักเรียนยังมีอยู่มาก วิธีการสอนแบบเดิมๆ ไม่ได้ทำให้ใกล้ชิดขนาดนี้ รู้สึกเกร็ง ไม่สนิท เมื่อคุณครูเปลี่ยนวิธีการสอนแบบใหม่ ใช้เกมส์ หรือกิจกรรมเข้ามาเสริม ทำให้รู้สึกสนุกกับการเรียน สนิทกับครูมากขึ้น เจอหน้าไม่เครียด ไม่อึดอัด กล้าที่จะพูดคุย ซักถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ จากเดิมที่เพื่อนคือสิ่งที่ทำให้อยากมาโรงเรียน แต่ตอนนี้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงไป วิชาที่เรียนแต่ละวัน คุณครู และกิจกรรมในโรงเรียน ทำให้อยากมาโรงเรียนเพราะสนุก และมีความสุขที่ได้เรียน

ที่มา มติชนออนไลน์