
มหันตภัยไฟป่าเมืองลาไฮนา รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา นับเป็นไฟป่าร้ายแรงที่สุดในสหรัฐ หนักสุดในรอบกว่า 100 ปี คร่าชีวิตคนนับพันบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างย่อยยับไปกับกองเพลิง
น.ส.ยลพักตร์ ขุนทอง (ยาหยี) นักศึกษาวารสาร ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเพื่อนๆ เป็นกลุ่มคนคนไทยที่อยู่ในเหตุการณ์ เธอเป็นนักศึกษาไทยที่เดินทางไปฮาวาย ในโครงการ Work and Travel ทำงานเป็นแม่บ้านโรงแรมเดอะเวสตินติดชายหาด
- หวั่น EV ไทย…ซ้ำรอยจีน
- “ทรู-ดีแทค” ถล่มโปร “คืนค่าเครื่อง” ย้ำรวมกันได้มากกว่า
- เปิด “ผังน้ำ” ประกบผังเมือง เขย่าราคาที่ดินทั่วประเทศ
ก้าวแรกที่ได้สัมผัส “ฮาวาย” คือ “เกาะสวรรค์” ที่รายล้มไปด้วยธรรมชาติและท้องทะเลที่สวยงาม ซึ่งภาพทุกอย่างถูกตัดสลับมาเป็นเกาะแห่งหายนะทะเลเพลิงในช่วงพริบตาตอนเช้าวันที่ 8 สิงหาคม
วันนั้นเป็นวันที่เกิดเกตุการณ์อันน่าสลดใจขึ้น เมื่อมีสัญญาณเตือนเริ่มจากตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา เธอได้กลิ่นเหม็นไหม้ตลอดเวลา ท่ามกลางกระแสลมที่แรงผิดปกติ และรับรู้ว่าไฟดับทั้งเมืองตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา
คนในพื้นที่บางกลุ่มพอรู้ว่าไฟดับ ก็เริ่มออกไปซูเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้ออาหารกระป๋องและของสำคัญมาตุนเพื่อประทังชีวิต คนในเมืองบ้างก็ออกไปทำงาน นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ
การแจ้งเตือนไฟป่าเริ่มมีการเตือนเข้ามาในโทรศัพท์มือถือบางเครื่อง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้คิดว่าไฟป่าบนภูเขา จะลามมาเผาเมืองทั้งเมืองได้ขนาดนี้ ทำให้เกิดความชะล่าใจไม่เร่งอพยพออกจากพื้นที่อย่างทันทีทันใด เมื่อได้รับข้อความเตือนจากทางการ
ยิ่งเวลาผ่านล่วงเลยไป สถานการณ์เริ่มหนักขึ้น ไม่มีวี่แววที่จะเบาลง เพราะกระแสลมที่แรง ทำให้เสาสัญญาณโทรศัพท์ล้มระเนระนาด ไฟป่าแรงเกินความควบคุมของเจ้าหน้าที่ ไฟเริ่มลามไหม้บ้านที่อยู่ติดภูเขา เริ่มลามมาไหม้สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญต่าง ๆ ผู้คนขาดการติดต่อสื่อสาร ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีใครรับรู้ได้เลยว่าครอบครัวตนเองที่ยังอยู่ในเมืองเป็นยังไงบ้าง

วินาทีนั้นเป็นวินาทีที่ทรมานใจที่สุด การจินตนาการถึงพ่อ แม่ ครอบครัว คนรักที่ไม่สามารถติดต่อได้ ยิ่งทำให้สุขภาพจิตใจแย่ลงมากขึ้น
ภาพที่เห็นตรงหน้า คือ ท้องฟ้าที่กลายเป็นสีแดง ผู้คนต้องหนีเอาชีวิตรอดกันด้วยตนเอง ไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนให้อพยพ ไม่มีการรายงานสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่รัฐ มีคนบางกลุ่มตัดสินใจทิ้งรถทิ้งทรัพย์สินกระโดดลงไปในทะเลเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
บางคนขับรถขนของกันออกมาจากบ้าน แต่คนบางกลุ่มไม่มีแม้กระทั่งโอกาสได้กลับไปขนของมีค่าออกมาจากบ้านด้วยซ้ำ เพราะทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไม่ต่างจากทะเลเพลิงแผดเผาแทบทั้งเกาะ

เย็นวันนั้นตำรวจเริ่มปิดถนนกันไม่ให้คนเข้าไปในลาไฮนา แต่ยังมีการอพยพคนออกมาจากลาไฮน่าอยู่เรื่อย ๆ เสียงที่ได้ยินก่อนจะอพยพออกมา คือเสียงร่ำไห้ของผู้คนที่สูญเสีย ประกอบกับเสียงระเบิดและเสียงไฟประทุอยู่เป็นระยะ ๆ สัมผัวได้ถึงไอร้อนจากกองไฟกองใหญ่ ที่มีฟืนเป็นสิ่งปลูกสร้างในลาไฮน่าเกือบทั้งหมด
สิ่งที่ทำได้คือพยายามหาที่ปลอดภัยที่จะนอนพักผ่อน หลังจากผ่านความเหนื่อยล้าและผ่านการดิ้นรนเอาชีวิตรอดตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ผู้คนที่อพยพกันออกมาบ้างก็ขับรถไปจอดนอนในปั๊ม บ้างก็ไปอยู่ที่ศูนย์อพยพ บ้างก็ไปบ้านญาติ แต่เชื่อว่าเมื่อทุกคนพยายามจะหลับตา ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาเป็นภาพของทะเลเพลิงที่เผาผลาญบ้านเรือนและป่า จากเกาะสวรรค์กลับกลายเป็นเกาะนรกไปในพริบตา

วันที่ 9 สิงหาคม ลาไฮนา เหลือเพียงเถ้าถ่าน ทุกอย่างไหม้เหลือแค่เพียงซาก กลิ่นควันคลุ้งไปทั่วทั้งเมือง ยังคงมีเสียงร้องไห้จากผู้คนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่คนเหล่านั้นหามาทั้งชีวิต ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีน้ำ ไม่มีอะไรติดตัว มีแค่ชีวิตตนที่รอดจากเกตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น
ลาไฮน่า ที่สวยงามที่เคยรู้จักกลับเงียบสงบ ทุกอย่างเหมือนเป็นภาพขาวดำไปชั่วขณะ สัญญาณโทรศัพท์ก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ ไม่มีใครรู้ว่าผู้คนที่ติดต่อไม่ได้นั้นยังมีชีวิตรอดอยู่รึเปล่า ทำได้เพียงแค่เอาชีวิตตนเองให้รอดและหวังว่าจะมีโอกาสกลับไปเจอคนที่รักอีกครั้ง
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์สำคัญอย่าง front street และ Banyan tree เหลือเพียงแค่ความทรงจำ
แม้ในวันนี้เมืองลาไฮนาและผู้คนที่สูญเสีย ยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกเป็นเวลาไม่รู้เท่าไหร่ แต่ความสวยงามและมนต์เสน่ห์ของเมืองลาไฮนายังคงตรึงอยู่ในใจเสมอ..
