
“ครูมัท” ครูผู้จากไป พร้อมความในใจที่ต้องแบกงานธุรการ พร้อมกับระบบบริหารงานของโรงเรียนที่ ‘ไม่เป็นระบบ’ แล้วระบบการศึกษาไทยควรทำอย่างไร เมื่อภาระงานครู เยอะเกินจำเป็น จนถูกตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เช้าของวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ตำรวจ สภ.ทะเมนชัย รับแจ้งมีคนผูกคอเสียชีวิต ที่บ้านสี่เหลี่ยมใหญ่ หมู่ 3 ต.หนองบัวโคก อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม สมาคมกู้ภัยอัมรินทร์ใต้ตอบโต้ภัยพิบัติบุรีรัมย์ อำเภอลำปลายมาศ และกู้ภัยสว่างจรรยาธรรมบุรีรัมย์ จุดหนองบัวโคก
ที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ บริเวณห้องนอนชั้นล่าง พบร่าง น.ส.อนุสรา หรือครูมัท อายุ 39 ปี ข้าราชการครูของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ผูกคอเสียชีวิต ตรวจสอบตามร่างกายไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้าย ทรัพย์สินภายในห้องไม่มีร่องรอยของการรื้อค้น คาดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 ชม.
ข้างศพพบซองจดหมาย หน้าซองเขียนไว้ว่า “จดหมายส่วนตัวถึงครอบครัวของฉัน จากมัท” เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน โดยในซองจดหมายมีถึง 5 หน้ากระดาษ โดยหน้าที่ 1-4 ผู้ตายได้เขียนถึงพี่สาวซึ่งเป็นข้าราชการครู ลูกสาววัย 10 ขวบและพ่อแม่
ส่วนหน้าที่ 5 ครูมัท เขียนข้อความบรรยายเกี่ยวกับการทำงาน โดยระบุสาระสำคัญว่า มีปัญหาในการเรื่อง การทำงาน การเงิน การบัญชี จากระบบการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ปัญหาการทำงานเกินหน้าที่ของครู นับเป็นหนึ่งในปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่ยังแก้ไม่ตก แม้จะมีความพยายามของภาครัฐในการเพิ่มการจ้างครูธุรการและภารโรง เพื่อปลดล็อกครู ให้โฟกัสกับการสอนเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องดังกล่าวยังคงเป็นประเด็นที่ถูกนำเสนอในทุก ๆ ปี
“ประชาชาติธุรกิจ” สรุปเหตุการณ์ เกิดอะไรขึ้นในเคสนี้ และชวนตั้งคำถามว่า ครูไทย ทำไมต้องทำงานมากกว่าการสอน ?
เกิดอะไรขึ้นในเคส “ครูมัท”
ข่าวสด รายงานว่า จดหมายหน้าที่ 5 ที่ครูมัทเขียนไว้นั้น ระบุว่า “ข้าพเจ้าขอลาทุกคนบนโลกใบนี้ ไปด้วยความ ไม่สบายกาย และไม่สบายใจ ด้วยมีปัญหาในการเรื่อง การทำงาน การเงิน การบัญชี ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำงานคั่งค้าง ทำให้พอกพูนจนแก้ไขได้ยาก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะข้าพเจ้าเพียงคนเดียว
แต่เป็นเพราะเกิดจาก กระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน การทำงานไม่เป็นระบบ ให้เบิกเงินก่อน เคลียร์เอกสารทีหลัง และก็นิ่งเฉย ไม่มีใครมาเคลียร์ให้ อันไหนเคลียร์เองได้ก็ดีไป แต่อันไหนเคลียร์ไม่ได้ ก็ต้องมานั่งเครียดเอง จนหัวจะระเบิดไมเกรนแทบทุกวัน
ข้าพเจ้าเหนื่อยกาย กับการทำงานนี้มาก ๆ สุขภาพก็ไม่ดีสะสมมาเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจจากโลกนี้ไป ก็เพราะเพื่อนร่วมงาน ที่จัดการ สั่งการมาโดยตลอด แต่พอถึงเวลามีความผิด กับบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง นั้นก็คือครูต่อ
ส่วน ผอ.ที่ย้ายมาแต่ละคนก็ไม่เคร่งครัดเรื่องการเงินเลย ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ใช้เงินไม่ถูกต้อง แต่พอมีความผิด อ้างว่าเราเป็นคนทำ ข้าพเจ้าขอโทษต่อเพื่อนร่วมงาน ท่านอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้าไม่สามารถทำงานนี้ต่อไปอีกได้แล้ว ถ้าอยู่ต่อไปคงพิการ หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้กับทุกคน ขออย่าให้ร้ายกัน ในวันที่ข้าพเจ้าไม่สามารถโต้แย้งใด ๆ ได้ ส่วนที่ผิดขอน้อมรับ แต่ส่วนที่ไม่ใช่ก็ขออย่าใส่ร้ายกันเลย
ฝากถึงกระทรวง ให้ช่วยเห็นใจ ครูการเงิน และพัสดุด้วยนะคะ อย่าให้ต้องทำงานหนักและเสี่ยงชีวิตแบบนี้เลย ลาก่อน ครู อนุสรา
นายสุพจน์ อายุ 68 ปี พ่อครูมัท กล่าวว่าตนเองมีลูกสาว 2 คน ทั้งสองคนสอบบรรจุข้าราชการครู โดยครูมัท เป็นลูกสาวคนเล็ก สอบติดครูและลงบรรจุที่โรงเรียนใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ในตำแหน่งครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ และเป็นครูการเงินของโรงเรียนอีกด้วย ส่วนเรื่องสาเหตุการผูกคอเสียชีวิตตนเองไม่ทราบ เพราะลูกสาวเป็นคนไม่ค่อยพูด
ขณะนางเอ (นามสมมุติ) อายุ 50 ปี เพื่อนครูต่างโรงเรียน เล่าว่าผู้ตายโทรศัพท์มาปรึกษาหลายเรื่อง เช่น ครูในโรงเรียนเขียนโครงการเบิกเงินไปใช้แล้ว ไม่นำใบเสร็จมาส่งให้ล้างหนี้เงินที่เบิกไปใช้ เท่าที่ทราบวันพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่การเงินของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จะเข้ามาตรวจสอบที่โรงเรียน ซึ่งอาจจะทำให้ครูมัท เกิดความเครียดจนคิดสั้น
ขณะที่ นายปราโมทย์ ผอ.โรงเรียนกล่าวว่า ตนเองมารับตำแหน่ง ผอ.เมื่อปลายปี 2565 ซึ่งครูมัท ก็เป็นครูการเงินของโรงเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดหากครูมัทมาปรึกษา อาจจะมีแนวทางแก้ไขได้ แต่ครูมัทเลือกวิธีนี้ เพื่อจบปัญหา
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เพจต่าง ๆ รวมถึงคุณครู ผู้ที่ทำงานในแวดวงการศึกษา ออกมาโพสต์แสดงความอาลัยต่อการจากไปของ ครูมัท อย่างกว้างขวาง รวมถึงกลับมาตั้งคำถามต่อการแก้ปัญหาเรื่องภาระงานของครูที่มากเกินไป และยังไม่สามารถแก้ได้ แม้จะมีการพูดถึงมาหลายปีแล้ว
ศึกษาธิการ เร่งสอบ-ลดภาระครู
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะโฆษก ศธ. เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แล้ว ซึ่งทราบว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) จะตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นถึงระบบ บริหารจัดการการทำงานภายในโรงเรียนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่ง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มีความห่วงใยและขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“โดยที่ผ่านมา ศธ. ก็ต้องยอมรับว่าภาระงานของครูก็มีอยู่ในหลายมิติที่มีจำนวนมาก ซึ่ง ศธ.เองก็จะพยายามลดภาระงานครูเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด แม้ ศธ.จะมีนโยบายเรื่องการลดภาระงานครู แต่ตลอดสองปีที่ผ่านมากลับยังคงมีอยู่โดยที่เป็นปัญหาส่วนมากจะเกิดขึ้นกับโรงเรียนขนาดเล็ก เรื่องของอัตรากำลังที่มีไม่เพียงพอ ครูจะต้องทำหน้าที่เข้ามาบริหารงบประมาณ จึงทำให้เกิดความกังวลเมื่อเวลามีปัญหาในการจัดซื้อจัดจ้าง
ดังนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ สพฐ.จึงมีแนวทางแก้ปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ถึง 10 คนที่ต้องบริหารจัดการงบฯอาหารกลางวัน จะมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนินการแทน” นายสิริพงศ์กล่าว
นายสิริพงศ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะของบประมาณในการจ้างธุรการด้วย เพื่อให้ครูได้ทำหน้าที่สอนเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ต้องมารับหน้าที่ทำงานในด้านที่ตัวเองไม่ถนัด ขณะเดียวกัน ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องมาอบรมทำความเข้าใจในเรื่องของการบริหาร ไม่ว่าจะเป็นบริหารงานบุคคล บริหารงานวิชาการ บริหารงานด้านการเงิน เพราะเรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนจำเป็นจะต้องมีติดตัวทั้งสิ้น
ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าผู้บริหารสถานศึกษาไม่มีความรู้เหล่านี้ ก็จะเป็นที่ปรึกษาให้แก่ครูไม่ได้ ดังนั้น ศธ.จึงไม่อยากให้มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาอีก และหวังว่ากรณีของครูมัทจะเป็นกรณีสุดท้าย
สพฐ.สั่งเขตพื้นที่ ตั้งทีมสอบพิรุธ พร้อมทบทวนระเบียบพัสดุ
ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาในภาพรวมของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งทุกโรงเรียนต้องดำเนินการตามระเบียบ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพราะ สพฐ. จะโอนงบฯค่าดำเนินการการจัดการศึกษาลงไปที่โรงเรียนโดยตรง
“ผมขอแสดงความเสียใจ ต่อการจากไปของครูมัท โดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็มีความเป็นห่วง และกำชับว่าจะปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีกไม่ได้ ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้ สำนักการคลังและสินทรัพย์ สพฐ. ทบทวนคู่มือ เพื่อตรวจสอบประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะโรงเรียนแห่งนี้เท่านั้น แต่ก็อาจเกิดขึ้นกับโรงเรียนอื่น ๆ ด้วย
ดังนั้น สพฐ. จึงต้องออกแบบการดำเนินการใหม่ โดยใช้กรณีของโรงเรียนในจังหวัดบุรีรัมย์ มาเป็นตัวอย่าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม โดยปกติก่อนการใช้งบประมาณ ตามระเบียบกำหนดให้โรงเรียนจัดทำแผนความต้องการ เพื่อขออนุมัติผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง กรรมการตรวจรับพัสดุ และกรรมการแจกจ่ายพัสดุ
ซึ่งหากดูตามจดหมายของครูมัท เข้าใจได้ว่า ระบบการบริหารพัสดุที่โรงเรียนดังกล่าวอาจจะมีปัญหา ทำให้ครูเกิดความเครียด ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ สพฐ. ที่จะต้องออกแบบและคิดวิธีการที่เหมาะสมต่อไป” ว่าที่ร้อยตรีธนุกล่าว
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ สพฐ. เคยส่งหนังสือ แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และโรงเรียนทั่วประเทศ โดยกำหนดให้โรงเรียนที่มีนักเรียน จำนวน 60 คนลงมา ให้เขตพื้นที่ จัดหาคนเข้าไปทำหน้าที่ธุรการแทน แต่บางโรงเรียนมีข้อจำกัดในเรื่องการเดินทาง และพอสอบถามบางแห่งอยากดำเนินการในเรื่องนี้เอง
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ว่า สพฐ. หรือ ศธ. จะไม่รับรู้ เรารับรู้ โดยเคยส่งครูธุรการไปประจำทุกโรงเรียน แต่ระยะหลังจำนวนครูธุรการลดลง เพราะจะนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอเข้ามาช่วย ดังนั้น เป็นเรื่องที่สพฐ. ต้องไปคิดว่า จะทำอย่างไรเพื่อจะลดภาระครู ให้ครูได้ทำหน้าที่สอนเป็นหลัก ส่วนภาระงานอื่น ๆ ก็ต้องมีหน่วยงานเข้ามาช่วย เช่น ให้เขตพื้นที่ดำเนินการแทน
“เดิม สพฐ. มีการจัดสรรครูธุรการ ลงไปครบทุกโรงเรียน แต่ทุกวันนี้มองว่า สามารถใช้ครูธุรการร่วมกันได้ เพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ไม่เหมือนกับภารโรงที่ต้องมีครบทุกแห่ง เพื่อดูแลโรงเรียน และหากจัดสรรครูธุรการ ลงไปทุกแห่งจะเป็นภาระทางงบประมาณที่ค่อนข้างมาก เพราะ สพฐ. มีโรงเรียนในสังกัดทั่วประเทศเกือบ 3 หมื่นโรงเรียน ดังนั้นจึงต้องคิด วิธีการอื่น ๆ เข้ามาช่วย
โดยผมได้ย้ำกับผู้อำนวยการเขตพื้นที่ให้ไปกำชับกับผู้อำนวยการโรงเรียนให้ชัดว่า ขอให้ปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ส่วนตัวเข้าใจว่าสาเหตุที่ครูฆ่าตัวตาย น่าจะมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ เพราะเราต้องตั้งข้อสังเกตว่า โรงเรียนเกือบ 3 หมื่นแห่ง แต่ทำไมที่นี่จึงเกิดปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดถึงขั้นนี้
เพราะฉะนั้น ผมได้สั่งการให้ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) บุรีรัมย์ เขต 1 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจจริง ผู้ที่เกี่ยวข้องในโรงเรียนนี้ทั้งหมด ตั้งแต่ผู้อำนวยการเขต เจ้าหน้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่การเงิน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียนนี้ และต้องมีคนรับผิดชอบ โดยให้เวลาในการตรวจสอบให้ได้คำตอบภายใน 7 วัน เพราะมีครูเสียชีวิต ซึ่ง สพฐ.ต้องขอแสดงความเสียใจ และขอให้เป็นกรณีสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น เพราะกว่าจะได้ครูหนึ่งคน ถือเป็นเรื่องยาก จึงต้องดูแลให้ดีที่สุด
ยืนยันว่า ศธ. เน้นย้ำในเรื่องการลดภาระครูให้ได้มากที่สุด แต่เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามระเบียบ ซึ่งอาจไปกระทบกับโรงเรียนขนาดเล็กจึงทำให้เกิดความเครียด สพฐ. ก็ต้องไปหาวิธีการที่เหมาะสม” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
“ส่วนประเด็นที่ครูชักชวนแต่งกายชุดดำผ่านโซเชียลนั้น ผมมองว่าก็เป็นสิทธิที่ครูทุกคนแสดงความคิดเห็นออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งผมเข้าใจครูทุกคนที่อยากจะเป็นสื่อกลางสะท้อนมาถึง สพฐ. ให้ช่วยเร่งแก้ปัญหาเรื่องภาระงานครู โดยผมยืนยันว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ เพราะกว่าจะได้เป็นครูหนึ่งคนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น สพฐ.จะต้องทำอย่างสุดความสามารถในการรักษาครู เพื่อทำหน้าที่สอนเด็กไว้ให้ดีที่สุด” ว่าที่ร้อยตรีธนุกล่าว
ครูไทย ทำงานหนัก
ข้อมูลจาก The Active Thai PBS อ้างอิงผลการสำรวจจาก เครือข่ายครูขอสอน พบว่า ครูไทยทำงานหนักแต่สอนได้ไม่เต็มที่เพราะถูกแย่งเวลาไป
- ครู 95% ต้องทำงานนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
- ครู 58% ต้องทำงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ขณะที่ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ (สสค.) เปิดเผยผลการสำรวจในปี 2557 พบว่า ใน 200 วัน ครูต้องทำงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอนไปแล้ว 84 วัน โดยคิดเป็น
- งานประเมินผลงานและคุณภาพ 31 วัน
- งานแข่งขันวิชาการ 29 วัน
- งานจัดทำและประเมินโครงการ 12 วัน
- การฝึกอบรม 10 วัน
- งานธุรการอื่น ๆ อีกหลายวัน และพบมากในโรงเรียนขนาดเล็ก
สภาผู้บริโภค จี้ ศธ. “คืนครูให้นักเรียน”
นางสาวปาริชาต ชัยวงษ์ อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ในฐานะตัวแทนครู ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้ความเห็นว่า ครูในปัจจุบันไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่การถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนเท่านั้น แต่ต้องแบกรับภาระงานหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน จนเกิดความเครียดสะสม
“ปัญหาภาระงาน และระบบที่ไม่เอื้อ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูบางคนไม่สามารถทำหน้าที่ครูได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ครูต้องแบกรับหน้าที่หลากหลาย ตั้งแต่งานโครงการ งานเอกสาร ที่อาจทำให้เกิดความเครียดสะสมจากภาระงาน”
นางสาวปาริชาตยังชี้ให้เห็นว่า ภาระงานไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ครู แต่ยังส่งผลกระทบต่อนักเรียน เพราะครูไม่มีเวลาออกแบบการเรียนการสอนได้เต็มที่ การติดตามหรือดูแลพฤติกรรมเด็กได้อย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเร่งผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน เพื่อให้ครูกลับมาโฟกัสที่บทบาทสำคัญในการดูแล และพัฒนาการศึกษาให้นักเรียนอย่างจริงจัง
ผลกระทบจากภาระงานที่ถาโถมเข้าใส่ครู จนทำให้เรื่องการดูแลเด็กนักเรียนกลายเป็นเรื่องที่ต้องรีบจัดการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว จนบางครั้งเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ครูบางคนเลือกใช้วิธีลงโทษด้วยความรุนแรงเป็นทางออกในการจัดการพฤติกรรมเด็กแทนการหาวิธีการลงโทษที่เหมาะสม ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของนักเรียน และปัญหาสังคมตามมา
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา เสนอให้กระทรวงศึกษาธิการ ทบทวนระบบงานและการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนอย่างจริงจัง หลังพบว่าครูยังต้องแบกรับภาระงานที่ไม่ใช่งานสอน ทั้งการเงิน พัสดุ ธุรการ และงานด้านกฎหมาย ซึ่งควรมีเจ้าหน้าที่ประจำดูแลแบบเต็มเวลา
นอกจากนี้ หากมองในภาพรวม ประเทศไทยมีบุคลากรทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก แต่กลับกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ แทนที่จะกระจายไปยังโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาภาระครู พร้อมเสนอให้มีมาตรการร่วมกันเพื่อจัดสรรบุคลากรอย่างเหมาะสมให้ครบทุกโรงเรียน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
“ไม่มีประเทศไหนปล่อยให้ครูจมอยู่กับงานเอกสารจนกระทบคุณภาพการสอน แต่ปัญหากลไกการบริหารบุคคลภาครัฐในไทย กลับทำให้เกิดภาวะโอเวอร์โหลด ใช้คนไม่ตรงกับหน้าที่ และเพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไปของครูมัท และเป็นการแสดงจุดยืนต่อวิชาชีพครู ที่ต้องเผชิญกับปัญหาภาระงาน และระบบที่ไม่เอื้อต่อการทำหน้าที่ครู ขอเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการและผู้ที่เกี่ยวข้องทบทวนแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน” นางสาวปาริชาตกล่าว
“ก่อการครู” เรียกร้องแก้ด่วน 4 ข้อ
โครงการก่อการครู ออกแถลงการณ์ระบุว่า “เราทุกคนในนามของก่อการครู ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปของครูมัท ข้าราชการครู ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา
การจากไปครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียส่วนบุคคล แต่มันคือสัญญาณเตือนถึงรอยร้าวลึกในระบบการศึกษาของไทย ระบบที่ผลักภาระงานเกินขอบเขต ระบบที่ขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ระบบที่ปล่อยให้ครูต้องแบกรับความเสี่ยงโดยลำพัง ทั้งทางใจ กาย และข้อกฎหมาย เหล่านี้ล้วนบีบคั้นให้ครูต้องเจอกับความเครียด ความกดดันจนแทบจะรับไม่ไหว
ข้อความสุดท้ายที่ครูมัทเขียนไว้ สะท้อนเสียงเรียกร้องจากความเจ็บปวดของคนทำงานในระบบ
ที่ไร้ที่พึ่ง มันคือเสียงเตือนว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้อง ‘ฟัง’ และ ‘เปลี่ยน’
ก่อการครูจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสังคมไทย พิจารณาประเด็นต่อไปนี้อย่างเร่งด่วน
1. ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้านและเป็นธรรม : เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และร่วมกันหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำรอย
2. ยกเครื่องระบบการเงินและพัสดุในโรงเรียน : กระทรวงศึกษาธิการ ควรวางระบบการบริหารจัดการงบประมาณ การเงิน และพัสดุในโรงเรียนใหม่ที่โปร่งใส รัดกุม มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตและไม่ปล่อยให้ครูต้องรับผิดชอบทุกอย่างเพียงลำพัง
3. ลดภาระงานครูและเพิ่มบุคลากรสนับสนุนที่มีความเชี่ยวชาญ : โดยเฉพาะงานด้านการเงินและพัสดุที่ซับซ้อนเกินบทบาทของครูผู้สอน ควรจัดหาบุคลากรสนับสนุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินและบัญชีโดยตรง และจัดอบรมพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านการเงินการบัญชีให้แก่ผู้บริหารและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
4. จัดตั้งระบบสนับสนุนสุขภาพจิตในโรงเรียน : ครูไม่ควรต้องต่อสู้กับความเครียดและความโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ควรมีระบบดูแลสุขภาพจิตที่เข้าถึงง่าย และไม่ตีตราเพื่อให้ครูและบุคลากรสามารถเข้าถึงการปรึกษาและได้รับการช่วยเหลือได้ทันการณ์
ก่อการครูขอยืนยันว่า จะร่วมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียบุคลากรทางการศึกษาด้วยเหตุผลที่ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นนี้อีก เราเชื่อมั่นว่า การศึกษาที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อครูมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม และทำงานในระบบที่เอื้อต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ”