ทยา ทีปสุวรรณ นำทัพ “รักบี้อินเตอร์” โรดโชว์ ตปท.

ทยา ทีปสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงเรียนนานาชาติรักบี้

ธุรกิจการศึกษาแข่งขันกันรุนแรงไม่แพ้ธุรกิจอื่น โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติ เฉพาะในเขตกรุงเทพฯมีมากกว่า 10 แห่งแล้ว ทำให้นักลงทุนด้านการศึกษาต้องเบนเข็มหาพื้นที่ต่างจังหวัดแทน โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯมากที่สุดอย่างจังหวัดชลบุรี ที่การเดินทางค่อนข้างสะดวก “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ทยา ทีปสุวรรณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงเรียนนานาชาติรักบี้ ที่เปิดดำเนินการมาแล้ว 1 ปีกว่า เป็นอย่างไร

“ทยา” ฉายภาพนานาชาติรักบี้ในวันนี้ว่า หลังจากที่เปิดโรงเรียนมาได้ปีกว่า ๆ ปัจจุบันมีนักเรียนรวมทั้งสิ้น 450 คน ถือว่าเกินจากเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนสำคัญที่ทำให้มีนักเรียนเพิ่มขึ้น “ทยา” บอกว่ามาจาก “จุดแข็ง” ที่แตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ คือ 1) ที่ตั้งโรงเรียนอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก 2) มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และเป็นพื้นที่สีเขียว เพื่อรองรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของนักเรียนได้อย่างครอบคลุม 3) ครูผู้สอนต้องมีคุณภาพ มีประสบการณ์ที่สำคัญคือ ต้องมีความเชี่ยวชาญในวิชาที่สอน

4) กำหนดจำนวนนักเรียน 18 คน/ชั้นเรียนเพื่อให้ดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง 5) นอกเหนือจากการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้ว ยังรองรับการเรียนรู้อื่น ๆ ในพื้นที่โรงเรียนอีกคือ การปีนเขา กีฬายิงธนู และการพายเรือแคนู เป็นต้น 6) นักเรียนจะได้เรียนกับครูเฉพาะทางตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป และ 7) นักเรียนได้รับการดูแล 24 ชั่วโมง

“ในกรุงเทพฯ ร.ร.นานาชาติ แข่งขันรุนแรงมาก นักลงทุนบางส่วนจึงย้ายมาปักหลักลงทุนในพื้นที่ต่างจังหวัดแทน โดยเฉพาะในจังหวัดชลบุรี เราจึงตัดสินใจมาตั้งโรงเรียนที่นี่ ซึ่งจะเห็นว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก ทั้งญี่ปุ่น จีน อังกฤษ สหรัฐ ออสเตรเลีย เพราะเราแตกต่างจากคนอื่น และยังมองว่าในเขตเมืองที่มีปัญหาเรื่องฝุ่นควัน อาจจะยิ่งทำให้มีนักเรียนสนใจเข้ามาเรียนมากขึ้น เพราะอากาศดี นักเรียนสามารถอยู่ประจำเพื่อฝึกวินัยหรือแบบไปกลับก็ได้”

“ทยา” ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ไม่ได้เน้นย้ำแค่การเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังช่วยดึงศักยภาพของเด็กแต่ละคน ทั้งในเรื่องแคแร็กเตอร์เฉพาะตัว ภาวะผู้นำและอื่น ๆ เพื่อให้นักเรียนเป็น “คนที่สมบูรณ์” ตรงนี้คือ เป้าหมายของ ร.ร.นานาชาติรักบี้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน นอกจากนี้ เมื่อเข้าเรียนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติม เพราะนอกเหนือจากหลักสูตรมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว ยังผนวกรวมภาษาอื่น ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักเรียนได้เรียนเพิ่มเติม เช่น ภาษาจีน เป็นต้น เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จบครบถ้วนทุกความต้องการที่นานาชาติรักบี้

เมื่อถามถึงอนาคตของโรงเรียนนานาชาติรักบี้ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร “ทยา” บอกว่า ในเฟสแรกลงทุนไปแล้วกว่า 1,600 ล้านบาท โดยขณะนี้จะต้องทยอยก่อสร้างอาคารอีกกว่า 12 อาคาร เนื่องจากวางเป้าหมายไว้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีนักเรียนรวม 1,400 คน ซึ่งได้ศึกษาในเชิงลึกถึงความเป็นไปได้ทั้งจากจำนวนนักเรียนที่เข้ามาเรียนในแต่ละปี รวมถึงเป้าหมายที่วางไว้ไม่ได้สูงมากนัก โดยคาดว่าในปี”63 จะมีนักเรียนรวมทั้งสิ้น 650 คน และจะเพิ่มเป็น 780 คนในปี”64

ส่วนการขยายสาขาเพิ่มเติมนั้น “ทยา”บอกว่า ต้องมองหลายปัจจัยมาประกอบ เช่น พื้นที่ที่จะเปิดสาขาใหม่ จำนวนโรงเรียนในพื้นที่นั้น ๆ และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารว่าสอดคล้องกับแบรนด์นานาชาติรักบี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากมีนักลงทุนรายอื่นที่สนใจลงทุนทำโรงเรียนนานาชาติรักบี้ โดยตามขั้นตอนจะต้องมาถามพาร์ตเนอร์เดิมที่มีอยู่ก่อนว่า สนใจจะขยายหรือไม่ ถ้าสนใจก็อาจจะลงทุนร่วมกัน และหากไม่สนใจก็จะมีพาร์ตเนอร์รายใหม่เข้ามาแทน

สำหรับอัตราค่าเทอมเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 500,000 บาท/ปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบโรงเรียนนานาชาติระดับท็อปเทนในกรุงเทพฯก็ถือว่าราคาค่าเทอม “ถูกกว่า” ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการส่งเด็กไปเรียนที่อังกฤษ มีราคาถูกกว่าถึง 3 เท่า

อย่างไรก็ตาม เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกครอบครัวต้องให้ความสำคัญและจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเด็ก ฉะนั้นต่อให้อัตราการเกิดน้อยลง หรือมีโรงเรียนนานาชาติใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็ตาม แต่หากโรงเรียนรักษาคุณภาพและมาตรฐานไว้ได้ ก็เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ปกครอง และขยับขึ้นเป็นโรงเรียนระดับท็อปของประเทศได้

ในช่วงท้าย ทยาบอกถึงภารกิจของเธอในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารว่าในเชิงธุรกิจต้องมองหาโอกาสใหม่ที่นอกเหนือจากตลาดในประเทศไทยด้วย เช่น ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะหากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างส่งเด็กไปเรียนที่ประเทศอังกฤษกับโรงเรียนนานาชาติรักบี้ ถือว่ามีราคาถูกกว่าถึง3 เท่า ที่สำคัญคือ ได้คุณภาพในระดับที่ใกล้เคียงกันด้วย และในปีนี้จะเริ่มทยอยโรดโชว์ในประเทศเป้าหมายอย่างเพื่อนบ้านแล้ว ยังเตรียมไปโรดโชว์ในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ เพิ่มเติมด้วย