ส่อง “ปัญหาครุศึกษาไทย” แนะสร้างครูดี-มีคุณภาพสูง

ถ้าหากมองถึงการยกระดับการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ คงไม่อาจมองแค่เพียงการพัฒนานักเรียน และครูผ่านกลไกต่าง ๆ แต่ต้องมองย้อนไปถึงต้นทางของการผลิตครูอย่าง “ครุศึกษา” หรือคณะที่เปิดสอนด้าน “ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์” ว่ามีกระบวนการเตรียมการและสร้าง “ว่าที่ครู” อย่างไร เพื่อออกไปเป็น “ครูคุณภาพ”

กระนั้นที่ผ่านมา ปัญหาครุศึกษาของไทยยังไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่มีความสำคัญไม่แพ้ประเด็นการศึกษาในมิติอื่น ๆ

จากความสำคัญดังกล่าว “คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร” จึงร่วมกับ “บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)” จัดงานเสวนาวิชาการ “EDUC SU Forum : Reimaging Teacher Education”

เนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ครบรอบ 49 ปี เพื่อสะท้อนมุมมองครุศึกษาไทยในปัจจุบัน และความคิดเห็นต่อทิศทางครุศึกษาไทยในอนาคต

เบื้องต้น “ผศ.ดร.มาเรียม นิลพันธุ์” คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นอีกหนึ่งสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนครุศึกษาของไทย โดยมีปณิธานที่ต้องการผลิตและพัฒนาครูในพื้นที่ รวมถึงสร้างรากฐานของการพัฒนาวิชาชีพครูให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

“ที่ผ่านมาครุศึกษามีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องหลักสูตรในการผลิตครู ซึ่งปีการศึกษา 2562 จะทำการเปิดสอนหลักสูตร 4 ปี จากเดิมที่เป็นหลักสูตร 5 ปี ส่งผลให้รูปแบบการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูไม่เหมือนเดิม คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1-3 ต้องฝึกงานปีการศึกษาละ 1 เดือน และในชั้นปีที่ 4 ต้องฝึกงาน 1 ภาคเรียน”

“จากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เล็งเห็นว่ามีความสำคัญ การจัดเสวนาครั้งนี้จึงมีแนวคิด Reimaging Teacher Education เพื่อฉายภาพให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของวิชาชีพครูและทิศทางด้านครุศึกษาที่ต้องเดินหน้าต่อไป”

ด้าน “ดร.ณรินทร์ ชำนาญดู” ผู้อำนวยการโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ จ.กาญจนบุรี สะท้อนความคิดเห็นว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนครุศึกษามีอยู่จำนวนมาก และมีความหลากหลายของสาขาวิชา แต่วิชาเอกที่เปิดสอนส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของโรงเรียน ส่งผลให้นักศึกษาที่จบออกมานั้นต้องไปเป็นครูในสาขาวิชาที่ไม่ตรงกับที่เรียนมา

“อย่างการเรียนสาขาวิชาเอกพละ แต่ต้องไปเป็นครูวิชาภาษาไทย ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอนอย่างมาก ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยจะต้องลงไปทำงานใกล้ชิดกับโรงเรียนเลยว่า เขาอยากได้ครูสาขาวิชาเอกใดบ้าง เพื่อจะได้รู้ข้อมูลที่แท้จริง และผลิตครูได้ตรงกับความต้องการ”

“ไม่เพียงเท่านี้ อาจส่งครูเข้าไปช่วยสอน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักเรียน ทำให้เกิดการจดจำ และเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ ซึ่งจะช่วยอุดช่องว่างปัญหามหาวิทยาลัยขาดแคลนผู้เรียนได้อีกทางหนึ่ง”

เช่นเดียวกับ “ดร.มนต์เมืองใต้ รอดอยู่” ผู้อำนวยการโรงเรียนราชินีบูรณะ จ.นครปฐม ที่มองว่ามหาวิทยาลัยควรมีการจัดหลักสูตรแบบผสมผสานที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ผสมกับภาษาอังกฤษ เพื่อเพิ่มองค์ความรู้และศักยภาพให้กับครูได้นำไปต่อยอดกับการทำงานจริง

“วันนี้การผลิตครูของมหาวิทยาลัยยังไม่ตรงกับความต้องการของโรงเรียน เนื่องมาจากสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันที่ต้องเลี้ยงดูตัวเอง จึงต้องเปิดสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อดึงดูดผู้เรียน โดยไม่ได้คำนึงว่าหลักสูตรนั้น ๆ เป็นที่ต้องการของโรงเรียนหรือไม่”

“แตกต่างจากเมื่อก่อนที่มหาวิทยาลัยมีจำนวนไม่มาก และมีความเชี่ยวชาญในการผลิตครูอย่างแท้จริง ฉะนั้นแล้ว มหาวิทยาลัยต้องปฏิรูปครุศึกษาใน 4 ด้าน คือ หลักสูตร, ครู, วิธีการสอน และวิธีการประเมินผล ที่ควรทำการประเมินเชิงประจักษ์กับนักเรียน”

“และหากต้องการให้ครุศึกษาสร้างการเปลี่ยนแปลงกับการศึกษาไทย จะต้องมีการปรับเงินเดือนของครูให้ติดระดับท็อป เพื่อกระตุ้นให้เด็กหันมาสนใจอาชีพนี้และเมื่อผนวกกับมาตรฐานการผลิตครูของมหาวิทยาลัยก็จะยิ่งทำให้ได้ครูที่พร้อมออกสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ”

ขณะที่ “ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา” อุปนายกสภามหาวิทยาลัยศิลปากร สะท้อนถึงรูปแบบของครุศึกษาที่ดีว่า จะต้องสร้างครูให้มีคุณลักษณะ 4 มิติ คือ พร้อมรับมือกับการเรียนรู้, ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต, เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต และเป็นนักวิชาชีพที่สนใจใฝ่รู้ตลอดเวลา

และการจะทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง องค์การเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่า จะต้องดึงดูดคนดี คนเก่งเข้ามาเป็นครูและมีแนวทางรักษาเขาให้อยู่ในระยะยาวรวมถึงมีเงินเดือนที่เหมาะสม ตลอดจนมีบรรยากาศในการทำงานที่ดี

“ภาพลักษณ์ของครุศึกษาที่สื่อสารไปสู่สาธารณะในตอนนี้ถือว่ายังดูไม่ทันสมัย คนมองว่าครูเป็นคนดี หรือเป็นแม่พระอย่างเดียว ซึ่งถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยต้องสื่อสารเพิ่มเติมว่า คนที่เป็นครูนั้นมีความสมาร์ทด้วย เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนครุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์มากขึ้น”

“อีกทั้งครุศึกษาของไทยต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพอย่างเข้มข้น คือ ไม่เพียงแต่การฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียนเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการฝึกอบรมครูในระหว่างการทำงานด้วย เพื่อพัฒนาครูอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพมากที่สุด”

ส่วน “ดร.นิภาพร กุลสมบูรณ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่าครุศึกษาถูกคาดหวังสูงในหลายเรื่อง แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น ด้านนโยบาย, งบประมาณ และการวิจัย ซึ่งคณะศึกษาศาสตร์ หรือครุศาสตร์ ต้องเป็นกระบอกเสียงไปยังภาคนโยบาย

“ขณะเดียวกัน ภาคนโยบายควรปรับวิสัยทัศน์ว่า ครุศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ และนำทรัพยากรมาลงด้านนี้ ซึ่งการที่จะทำให้ครุศึกษาของไทยพัฒนาได้นั้นจะต้องวางให้เป็นวิชาชีพชั้นเลิศที่มีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ผ่านผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว รวมถึงได้รับทรัพยากรสนับสนุนทั้งด้านคน, งบประมาณและงานวิจัย”

ที่สำคัญ ต้องมองว่าการศึกษาเป็นบริการที่ให้กับสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองลูกค้า หรือธุรกิจ แต่เป็นประโยชน์ในการสร้างคนของประเทศ ซึ่งการสร้างหรือบ่มเพาะครูที่มีคุณภาพจะตอบโจทย์เด็กทั้งประเทศได้