ร.ร.กวดวิชา “บ้านวิชากร” ลุยขายแฟรนไชส์ ปท.เพื่อนบ้าน

ดร.ประภาวัลย์ ชวนไชยะกุล

การแข่งขันในธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา การมีสาขาจำนวนมาก และมีครูผู้สอนที่มีชื่อเสียง ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จเสมอไป โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การแข่งขันสูงมากอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จากอัตราการเกิดของประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลับทำให้เห็นว่าโรงเรียนกวดวิชาในกลุ่มตลาดเล็กที่มีจุดแข็งสำคัญ คือ การสอนที่มี “คุณภาพ” ค่าเรียนอยู่ในระดับที่ผู้ปกครองเข้าถึงได้ ยังคงยืนหยัดในธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา อย่าง โรงเรียนกวดวิชา และภาษาบ้านวิชากร ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี “ดร.ประภาวัลย์ ชวนไชยะกุล” เป็นผู้ริเริ่ม และก่อตั้งจนถึงปัจจุบันรวมกว่า 25 ปี

“ดร.ประภาวัลย์” เล่าถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางกว่าจะมาเป็นโรงเรียนกวดวิชา และภาษาบ้านวิชากร โดยบอกว่า การเป็นติวเตอร์ประจำบ้านให้กับลูก ๆ ทั้ง 3 คนจนสามารถเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยระดับท็อปของประเทศไม่ว่าจะเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมไปจนถึงมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ที่สำคัญ พวกเขายังได้รับทุนการศึกษาทั้งในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศอีกบางส่วนจนทำให้คนรอบข้างส่งลูกหลานมาติวกับเรามากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นจึงมีความคิดที่จะตั้งโรงเรียนกวดวิชาในแบบของตัวเอง คือ การเรียนจะต้องสนุกเข้าใจ และจดจำเนื้อหาได้ เน้นการสอนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้ครูผู้สอนดูแลเด็กนักเรียนได้อย่างทั่วถึง

เด็กที่จะเข้ามาเรียนที่บ้านวิชากร จะต้องถูกสัมภาษณ์โดย “ดร.ประภาวัลย์” เกือบทุุกคน ถามว่าทำไมต้องสัมภาษณ์เอง คำตอบคือครูต้องรู้จักพื้นฐานของเด็กแต่ละคนก่อน ต้องวิเคราะห์เด็กแต่ละคนให้ได้ เพราะแต่ละคนต่างมีความแตกต่างกัน บางคนอาจมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียน อย่างเช่น ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เราจึงต้องออกแบบการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของเด็ก ซึ่งเมื่อมีทัศนคติที่ดีกับการเรียนแล้ว จะตามมาด้วยการอยากเรียน และสุดท้าย เด็กเหล่านี้จะเรียนเก่งขึ้นในทุกวิชาอีกด้วย

คุณภาพการสอนในแบบบ้านวิชากรมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ คุณภาพหลักสูตรบวกกับวิธีการสอน และครูผู้สอนโดยเฉพาะ “ครู” ที่บ้านวิชากรกำหนดสเป็กไว้ว่า 1) ต้องจบการศึกษาด้านครูมาโดยเฉพาะ จากมหาวิทยาลัยของรัฐ

2) มีความเป็นมืออาชีพ และ 3) มีประสบการณ์การสอนในวิชาที่ตัวเองมีความถนัด แต่ในบางรายวิชาจะยกเว้นว่าไม่จำเป็นต้องเรียนจบด้านครูก็ได้ อย่างเช่นครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นต้น

“นอกจากสเป็กเหล่านี้แล้ว ครูจะต้องมีจรรยาบรรณจะเก่งแค่ด้านวิชาการอย่างเดียวไม่ได้ ครูจะต้องรักเด็ก และเสียสละเพื่อส่วนรวมด้วย ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้ยังนำไปใช้กับการคัดเลือกผู้ที่สนใจซื้อแฟรนไชส์โรงเรียนกวดวิชาบ้านวิชากรอีกด้วย” ดร.ประภาวัลย์กล่าว

โรงเรียนกวดวิชา และภาษาบ้านวิชากรเป็นผู้ประกอบการในตลาดเล็ก ปัจจุบันมีสาขาในเขตพื้นที่ กทม.อยู่ประมาณ 8 สาขา คือ 1) สาขาปิ่นเกล้า (สำนักงานใหญ่) 2) สาขาพญาไท หรืออาคารวรรณศร 3) สาขาศรีนครินทร์ 4) สาขาบางใหญ่ 5) สาขาอุดรธานี 6) สาขาวงเวียนใหญ่ 7) สาขาโรบินสัน สมุทรปราการ และ 8) สาขาสยามพารากอน โดยแต่ละปีมีเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มจากการขายแฟรนไชส์ไว้ไม่เกิน 2 แห่งเท่านั้น “ดร.ประภาวัลย์” ระบุว่า การเน้นไปที่คุณภาพการเรียนการสอน ทำให้ไม่ได้มองในแง่ของปริมาณ

“ใครก็ตามที่จะเข้ามาซื้อแฟรนไชส์บ้านวิชากร อย่างแรกที่ต้องมี คือ ต้องนึกถึงคุณภาพมาก่อนเป็นเรื่องแรก ถ้ามองแค่เพียงผลประกอบการ เราต้องปฏิเสธเป็นจำนวนมาก แต่ในรายที่ผ่านเราจะดูแลลูกค้าไปตลอดชีพ และลงพื้นที่ร่วมกับผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ เพื่อประเมินว่าพื้นที่มีความเหมาะสมที่จะเปิดโรงเรียนกวดวิชาได้หรือไม่ และเมื่อลงนามซื้อขายแล้ว บ้านวิชากรยังจัดหาทั้งครู และนักเรียนในช่วงเริ่มต้นให้ไม่ต่ำกว่า 100 คน รวมถึงจัดหาฝ่ายธุรการ และเป็นพี่เลี้ยงให้ทุกด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์อีกด้วย”

ถามว่าอะไรคือ “จุดแข็ง” ที่ทำให้โรงเรียนกวดวิชา และภาษาบ้านวิชากร ยังอยู่ในตลาดได้ คำตอบคือการเป็น “ที่หนึ่ง”ในหลายด้าน เช่น เป็นโรงเรียนกวดวิชาเพียงรายเดียวในประเทศไทยที่มีการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ทั้งยังมีการคิดค้นเครื่องมือและอุปกรณ์ในการเรียนการสอนเองอีกด้วย รวมถึงหากครอบครัวของนักเรียนมีปัญหาทางการเงิน ยังอนุโลมให้สามารถแบ่งจ่ายค่าเรียนเป็นรายเดือนได้อีกด้วย

“ดร.ประภาวัลย์” พูดถึงในประเด็นนี้ว่า อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้เน้นความเป็นธุรกิจ แต่เราเน้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยพัฒนาการศึกษาไทย เด็กที่ขาดโอกาสจะต้องได้เรียนเหมือนกับเด็กในกทม. เราจึงมีการเรียนผ่านระบบออนไลน์ด้วย นอกจากนี้ เรายังช่วยเหลือโรงเรียนในต่างจังหวัดที่ต้องการครูจาก กทม.ไปช่วยสอน กว่า 60 โรงเรียน โดยจะส่งครูไปช่วยอย่างต่อเนื่องทุกปี อาจได้รายได้ที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับใน กทม. แต่เราทำให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันให้ได้มากที่สุด

“จุดแข็งอีกอย่างของบ้านวิชากร คือ การมีเครือข่ายครูมากกว่า 400 คนที่กระจายอยู่ตามสาขาต่าง ๆ จึงทำให้สามารถเลือกครูให้เหมาะสมกับนักเรียนได้มากที่สุด และที่กำลังจะกลายเป็นจุดแข็ง อีกอย่าง คือ ขณะนี้โรงเรียนกวดวิชาบ้านวิชากรอยู่ในระหว่างเริ่มทดลองหลักสูตรใหม่ในวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ด้วยการออกแบบอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทำให้เด็กได้ใช้จินตนาการของตัวเอง เพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้อาจค่อนข้างใช้เวลาเพื่อจะประเมินว่าอุปกรณ์ดังกล่าวทำให้เด็กเข้าใจได้มากกว่าการเรียนแบบท่องจำในรูปแบบเดิม ๆ หรือไม่”

ประสบการณ์ตลอด 25 ปี ในธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา และภาษาบ้านวิชากรทำให้ “ดร.ประภาวัลย์” ตัดสินใจขายแฟรนไชส์ให้กับผู้สนใจในประเทศเพื่อนบ้านแห่งแรกที่ สปป.ลาว และขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างเจรจากับผู้สนใจจากประเทศเมียนมา และกัมพูชาอีกทางหนึ่งด้วย สำหรับสาขาที่ สปป.ลาวนั้น การสอนไม่ได้เน้นสอนเชิงวิชาการ แต่จะเข้าไปเสริมทักษะ จนทำให้เด็กเก่ง และมีความฉลาดก่อน โดยเรามุ่งสอนในวิชาศิลปะ และปฐมวัย เป็นต้น

“ก่อนจะขายแฟรนไชส์ให้ใคร เราต้องมาจูนความคิดของเขาก่อนว่า มีความเป็นครูหรือไม่ มีเงินลงทุนหมุนเวียนหรือไม่ หากไม่มีอาจจะมีความเสี่ยง ต่อจากนี้จะขยายในรูปแบบของแฟรนไชส์ทั้งหมด ไม่ลงทุนเอง ส่วนที่เราเป็นเจ้าของอยู่ หากมีใครสนใจก็เข้ามาเจรจาซื้อ-ขายได้ ซึ่งราคาจะแตกต่างจากการขายแฟรนไชส์สาขาใหม่ที่ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 2 ล้านบาท แต่หากเข้ามาซื้อสาขาที่ดำเนินการอยู่แล้วจะมีราคาสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 10 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรียนด้วย)แต่ถือว่าคุ้ม เพราะเราจะหาครูผู้สอนให้ตลอดชีพ และเสียเงินเพียงครั้งเดียว”


“ดร.ประภาวัลย์” ยังทิ้งท้ายถึงโรงเรียนกวดวิชา และภาษาบ้านวิชากรอีกว่า แบรนด์ของเราแข็งแกร่งจากการบอกต่อ จะเห็นได้ว่าตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้โฆษณาหรือโปรโมตอะไรเลย แต่วันนี้แบรนด์ของเราไปไกลถึงเพื่อนบ้านแล้ว