“คุณหญิงกัลยา” แถลงข่าวก้าวสู่ปีที่ 3 ชูแนวทาง “เติม ต่อยอด ยั่งยืน” เร่งขับเคลื่อน 7 นโยบายหลักมุ่งสู่การปฏิรูปการศึกษาวิถีใหม่
วันที่ 10 กันยายน 2564 ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงข่าวการทำงาน ก้าวสู่ปีที่ 3 ชูแนวทาง “เติม ต่อยอด ยั่งยืน” เร่งเดินหน้าและต่อยอด 7 นโยบายสำคัญเร่งด่วน (Quick Win 7+) โดยภายในงานแถลงข่าว ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ กล่าวแสดงความยินดี พร้อมให้นโยบายเดินหน้ามุ่งสู่การปฏิรูปการศึกษาวิถีใหม่
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทแห่ขายเดือน เม.ย.นี้ จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.40%
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้การปฏิรูปการศึกษาไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ทั้งการปรับหลักสูตรการเรียนรู้ รูปแบบการเรียนการสอน และการวัดผล รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้การศึกษาเป็นไปตามรูปแบบที่เหมาะต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะสถานการณ์การการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้แต่ภาคการศึกษา เพื่อให้เยาวชนไทยได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ได้ติดตามการทำงานของ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการมาโดยตลอด ได้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของคุณหญิงที่จะขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง จนมีผลงานปรากฏเด่นชัดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะนโยบาย Coding ที่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วซึ่งเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนนโยบายนี้เพราะเล็งเห็นว่าการเรียน Coding มีความสำคัญต่อเยาวชนเป็นอย่างมาก
รวมไปถึงการพลิกโฉมอาชีวะเกษตร ด้วยโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ซึ่งขับเคลื่อนผ่านวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) จนเกิดหลักสูตรนักบริหารจัดการน้ำฯ หรือ “ชลกร” รุ่นที่ 1 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกและหลักสูตรแรกในประเทศไทยที่เปิดสอนเรื่องการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ระดับ ปวส. จนทำให้มีจำนวนนักศึกษาสมัครเข้าเรียนอาชีวะเกษตรและเทคโนโลยีเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ไม่นับรวมนโยบายและโครงการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษาอีกมากมายที่เกิดขึ้น อาทิ นโยบายการศึกษาพิเศษ, นโยบายการอ่าน เขียน เรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อสารร่วมสมัย, โครงการวิทยาศาสตร์พลัง 10, การขับเคลื่อนโรงเรียนวิทยาศาสตร์ในกำกับ, รวมไปถึงโครงการ Project 14 ทำให้มั่นใจว่านักเรียนจะได้รับความรู้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพแม้จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ก็ตาม
“การทำงานของคุณหญิงกัลยาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญๆได้เป็นผลสำเร็จ และเชื่อมั่นว่าการก้าวสู่ปีที่ 3 ของครูกัลยาภายใต้แนวทาง “เติม ต่อยอด ยั่งยืน” จะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ เพื่อเป้าหมายสุงสุดในการปฏิรูปการศึกษาไทยได้อย่างแน่นอน ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพัฒนารูปแบบการศึกษา เพื่อให้เข้ากับการศึกษาวิถีใหม่”ดร.วิษณุ กล่าว
ด้าน ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายในปีที่ผ่านมา แม้จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม ดังนั้นการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของตนเองในปีที่ 3 นับจากนี้จะยังมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย และเร่งเดินหน้ารวมถึงต่อยอดใน 7 โครงการสำคัญ (Quick Win 7+) ต่อเนื่อง เพื่อสร้างนักเรียนคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วย
1.โครงการ Coding For All คนไทยต้องได้เรียน Coding กระทรวงศึกษาธิการจะสร้าง Coding Community ขยายผล ขับเคลื่อน ทุกภาคส่วน เพื่อกระจายการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ และทุกช่วงวัย
2.โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ขยายผลสู่ชุมชน สร้างความมั่นคงทางการเกษตร โดยปัจจุบันได้เปิดสอนหลักสูตร “ชลกร” รุ่นที่ 1 แล้ว เพื่อปั้นนักบริหารจัดการน้ำในชุมชน โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การช่วยเหลือเกษตรกร ให้มีน้ำกิน น้ำใช้ แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน โดยเชื่อว่าอาชีวะเกษตรจะสร้างชาติ ด้วยชลกรที่จะเข้ามาเปลี่ยนประเทศไทย
3.โครงการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แนวสร้างสรรค์ ผ่านสื่อร่วมสมัย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย การอ่าน การเขียน เรียนประวัติศาสตร์ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยจะเพิ่มปฏิสัมพันธ์เชิงวิพากษ์ ขยายผลการใช้สื่อสู่ห้องเรียนในรูปแบบหลายหลายช่องทาง ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การขยายบน Facebook, Youtube, Page Website, OBEC Center เป็นต้น
4.โครงการสร้างมิติใหม่การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ผสานศาสตร์และศิลป์ เปลี่ยน STEM เป็น STEAM วิทยาศาสตร์พลังสิบ ลด ความเหลื่อมล้ำ สร้าง Citizen science ให้เกิดขึ้น เป็นการขยายโอกาสให้นักเรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างกว้างขวาง โดยจะเน้นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน
5.โครงการการศึกษาที่เท่าเทียม สร้างโอกาสให้เด็กด้อยโอกาสและพิการ พัฒนาทักษะชีวิตผ่านการเรียนรู้ การศึกษาไทยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส ผ่านการเรียนการสอนในรูปแบบที่หลากหลายและมีคุณภาพ เน้นการปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันและภูมิปัญญาเฉพาะถิ่นในสังคมชุมชนนั้น ๆ จนสามารถนำไปประกอบอาชีพเพื่อดำเนินชีวิตในปัจจุบันและอนาคตได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะอยู่บนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เกษตรกรรม (STIA)
6.โครงการอาชีวะฐานวิทย์ สร้างวิชาชีพคนไทยรุ่นใหม่ ป้อนคนสู่ภาคอุตสาหกรรม ตอบรับโลกดิจิทัล เป็นการพลิกโฉมการเรียนอาชีวศึกษาแนวใหม่ด้วยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ สร้างเด็กสายอาชีพให้กลายเป็นนวัตกร ยกระดับการเรียนในสายอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับโลกดิจิทัล
7.โครงการยกระดับการศึกษารอบด้าน เปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอน ปรับการประเมินผล เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบที่เหมาะในศตวรรษที่ 21 และสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งได้มีการปฏิรูปทั้งตัวผู้สอนคือครู และรูปแบบการเรียนการสอน
“การก้าวสู่ปีที่ 3 ในการทำงาน ยังมีความท้าทายรออยู่อีกมากมาย เราทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติในทุกๆ มิติ ดิฉันจะทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องและเห็นเป็นรูปธรรมเป็นการเติม ต่อยอด และยั่งยืน” ดร.คุณหญิงกัลยา กล่าว