นักเรียน 1 ล้านคนไม่แจ้งรับวัคซีน “อนุทิน” เผยเหลือเวลา 1 เดือนเร่งระดมฉีด

อนุทิน เผยนักเรียนอีก 1 ล้านคน ยังไม่แจ้งความประสงค์รับวัคซีน ต้องเร่งทำความเข้าใจผู้ปกครอง เหลือเวลาอีกแค่ 1 เดือน ก่อนเปิดเทอม เร่งระดมฉีด ด้าน ศธ.ชี้ จัดเตรียมแผนเชิญเหตุไว้เรียบร้อยแล้ว

วันที่ 6 ตุลาคม 2564 ที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กนักเรียน

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดการติดเชื้อโควิดในช่วงการระบาดระลอกที่ผ่านมาเดือนเมษายน-สิงหาคม 2564 มีเด็กที่ติดเชื้อสะสม 114,039 ราย และยังพบผลกระทบจากการปิดโรงเรียนและการเรียนออนไลน์ พบปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ ทักษะสังคม และเสียโอกาสในการเรียนรู้เป็นอย่างมากจากการที่ไม่ได้ไปโรงเรียนตามปกติ

และในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มนักเรียน โดยเริ่มต้นในกลุ่มอายุ 12-18 ปีเป็นหลักก่อน เนื่องจากผลการศึกษาวัคซีนในเด็กยังมีน้อยกว่าในผู้ใหญ่ จึงต้องติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด พร้อมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดสำหรับเด็ก ๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของเราทุกคน และนำไปสู่การกลับไปใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงปกติ คือสามารถไปโรงเรียน เรียนรู้ได้สมวัย และแม้จะได้รับวัคซีนแล้ว ทุกคนในโรงเรียนทั้งครู เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครอง และตัวเด็กเองยังต้องระมัดระวังป้องกันตนเองขั้นสูงสุด เพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในโรงเรียน

สำหรับวันนี้ที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี มีนักเรียนชั้น ม.1-6 ที่สมัครใจและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเข้ารับวัคซีน จำนวน 2,505 คน จากนักเรียนทั้งหมด 2,929 คน

ขณะที่นักเรียนทั่วประเทศที่มีช่วงอายุ 12-18 ปี ที่สามารถรับวัคซีนไฟเซอร์ได้มีประมาณ 5 ล้านคน และได้รับการยืนยันข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการว่ามีนักเรียนลงทะเบียนแล้วจำนวน 3.8 ล้านคน ซึ่งยังเหลือนักเรียนอีกประมาณ 1 ล้านคน โดยจะต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ ผ่านทางโรงเรียน เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้ผู้ปกครองอนุญาตให้เด็กมาฉีดวัคซีน เพราะการได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง เป็นการป้องกันได้ว่าจะไม่มีการกระจายเชื้อในโรงเรียน

ขณะเดียวกันจะเร่งฉีดวัคซีนไปเรื่อย ๆ เร่งระดมฉีดทั่วประเทศให้ทันเปิดภาคการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน คือมีเวลา 1 เดือนที่ต้องเร่งฉีด และยืนยันว่าสามารถฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนในโรงเรียนทุกแห่งได้ ซึ่งจะมีการจัดระบบสาธารณสุขแต่ละจังหวัด เพื่อกระจายการฉีดออกไปทุกพื้นที่อย่างเร็วที่สุด

นายอนุทินกล่าวต่อว่า วันนี้มีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส ตามกำหนดในสัญญา สัปดาห์หน้าจะเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส โดย ต.ค. จะเข้ามาทั้งหมด 8 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอกับการฉีดในนักเรียน ส่วนที่เหลือจะฉีดในคนทั่วไป จะเป็นเข็มแรกหรือบูสเตอร์ก็อยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์

อย่างไรก็ตามในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ยังไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล เรื่องผลข้างเคียง ซึ่งผลข้างเคียงมีได้ แต่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย บางคนมีไข้ เพลีย ก็แนะนำแล้วว่า ช่วงฉีดวัคซีน วันนั้นก็พยายามพักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ

ด้านนางสาวตรีนุช เทียนทอง กล่าวว่า สำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ศธ. ได้กำหนดให้มีระยะเวลาดำเนินงาน 2 ระยะ คือระยะแรก สำหรับโรงเรียนพักนอน ซึ่งดำเนินการตามโครงการ Sandbox : Safety zone in School มาตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2564 และระยะที่สอง สำหรับโรงเรียนประเภทไป-กลับ ที่มีความพร้อมและผ่านเกณฑ์การประเมิน ซึ่งการจะเปิดโรงเรียนได้ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินหลายด้าน

เช่น ด้านกายภาพ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการประเมินความพร้อมสู่การปฏิบัติ สำหรับสถานศึกษา ครู-บุคลากรต้องฉีดวัคซีนครบโดสไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ในขณะที่นักเรียน-ผู้ปกครอง ควรได้รับวัคซีนตามมาตรการที่ ศธ. และ สธ.กำหนด

ทั้งนี้ในระหว่างการเปิดภาคเรียนไปแล้ว ต้องปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และสามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Onsite หรือ Online หรือแบบผสมผสานทั้งประจำและไปกลับก็ได้ หรือการสลับวันมาเรียน โดยแต่ละห้องเรียนไม่เกิน 25 คน เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร

ทั้งนี้ เมื่อนักเรียนได้รับวัคซีนไฟเซอร์ครอบคลุมหมดแล้วก็ถือว่ามีความมั่นใจทางด้านสุขภาพระดับที่จะลดการแพร่เชื้อ ซึ่งเบื้องต้นเท่าที่รับรายงาน มีนักเรียนแจ้งรายชื่อขอฉีดวัคซีนเพิ่มอีกกว่า 1 แสนราย โดยมีนักเรียนทั้งหมด 5,048,081 คน และเดิมประสงค์แจ้งฉีดวัคซีน จำนวน 3,618,166 คน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมาอีก ร้อยละ 80 อย่างไรก็ตามการเปิดภาคเรียน ศธ. และ สธ.ได้จัดเตรียมแผนเชิญเหตุไว้เรียบร้อยแล้ว