โรงเรียนเปิดออนไซต์แล้ว 1.3 หมื่นแห่ง จะทยอยเปิดเพิ่มอีกจำนวนมาก วันที่ 15 พ.ย.นี้ ศธ. กำชับเข้มมาตรการป้องกันโควิด ย้ำหากต้องใช้ ATK คัดกรองอย่ารับบริจาค ให้ประสานอนามัยหรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้หารือร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศถึงนโยบายการเปิดเรียน on-site ว่า ขณะนี้มีโรงเรียนที่เปิดเรียนon-site แล้ว กว่า 13,000 โรงเรียน และจะทยอยเปิดในวันที่ 15 พฤศจิกายน และวันที่ 1 ธันวาคมอีกจำนวนมาก ขอให้โรงเรียนทุกแห่งเร่งยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งได้มอบทิศทางการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยให้นโยบายที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้องนำไปขับเคลื่อน ดังนี้
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- “พลังงานไฮโดรเจน” ถูกกว่าน้ำมัน 60% ไทยเริ่มศึกษาแต่ เยอรมัน กำลังจะเลิกใช้
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
1.การจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์โควิด 19 ฝากให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง นักเรียน ให้มีความเข้าใจในเรื่องการปรับการเรียนการสอนในสถานการณ์โควิด 19 ทั้งเรื่องการปรับชั่วโมงเรียน การยกเลิกการใช้คะแนน O-NET รวมทั้งขอให้แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาได้จัดทำแผนที่จะดำเนินการเปิดเรียน on-site ยึดพื้นที่จังหวัด อำเภอ ตำบล เป็นฐาน
โดยต้องพิจารณาดำเนินการให้ครบถ้วนทุกกระบวนการตามคู่มือที่ สพฐ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับกรณีที่โรงเรียนเปิดเรียน on-site แล้ว ขอให้ดูความสมัครใจของผู้ปกครองและนักเรียนที่จะมาเรียน ซึ่งหากผู้ปกครองยังไม่เชื่อมั่น โรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานเพื่อให้นักเรียนได้เรียนครบทุกคน
สำหรับกรณีการใช้ชุดตรวจ ATK ขอให้ประสานกับอนามัยหรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เข้ามาตรวจสอบคัดกรอง มีความห่วงใยและไม่อยากให้รับบริจาคชุดตรวจ ATK มาใช้ในการคัดกรอง และยังคงต้องดำเนินการตามมาตรการไทยเซฟไทย
ทั้งนี้ การเปิด on-site ควรเน้นไปที่โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในชุมชนขนาดเล็ก สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ให้พิจารณาจัดการเรียนการสอนได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเปิด on-site ทั้งโรงเรียน
2. การบริหารการจัดการศึกษาโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน ใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อน ขอให้ดำเนินการแบบมีส่วนร่วม ใช้นวัตกรรมที่มีอยู่ โดยให้ประธานคลัสเตอร์ร่วมดำเนินการ โดยใช้นวัตกรรมที่มีอยู่ และเป็นผู้ประสานการทำงาน ซึ่งต้องมิใช่การบังคับบัญชา ทั้งนี้ การทำงานในแต่ละพื้นที่ให้มีการประสานงานระดับจังหวัดด้วย ในรายละเอียดการดำเนินการอาจแตกต่างกันได้ แต่ขอให้มีหลักการเดียวกัน
สำหรับการขับเคลื่อน สพฐ. ได้ออกแบบองค์ประกอบของการดำเนินงานไว้แล้ว ขอให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษาได้ศึกษา และใช้กลไกการทำงานที่มีการประกันคุณภาพและมีการควบคุมคุณภาพ
3. นโยบายเรื่องความปลอดภัย/โอกาสและการลดความเหลื่อมล้ำ/คุณภาพ และประสิทธิภาพ
-ความปลอดภัย มีเป้าหมายที่ต้องดำเนินการเฝ้าระวังจากโรคภัยต่าง ๆ โดยยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องโควิด 19 ภัยจากเทคโนโลยี ภัยจากภัยพิบัติ (อุทกภัย) และภัยจากยาเสพติด โดยขอให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามีมาตรการที่เข้มงวด
-การสร้างโอกาสและการลดความเหลื่อมล้ำ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ไปติดตาม ค้นหา จากการจ่ายเงิน 2,000 บาท ในกลุ่มเด็ก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่สามารถจ่ายเงิน 2,000 บาทได้ ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กตกหล่นหรือออกกลางคันหรือไม่ ให้ติดตามช่วยเหลือให้กลับเข้าสู่ระบบ โดยให้วางแนวทางค้นหาติดตามว่าเด็กอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร และจะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไร สำหรับกลุ่มที่มารับเงิน 2,000 บาท แต่มีความยากลำบาก ก็ให้วางแนวทางช่วยเหลือว่าต้องดำเนินการอย่างไร
-คุณภาพ มุ่งหวังให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประกาศเป็นนโยบายของเขตพื้นที่ ในเรื่องของการอ่านออกเขียนได้ รักการอ่าน คิดเลขเป็น โดยเฉพาะในระดับชั้น ป.1 ป.2 และป.3 ซึ่งหากเด็กอ่านออกเขียนได้ รักการอ่าน จะทำให้สามารถเรียนรู้วิชาอื่นได้ และค้นพบความชอบความถนัดของตัวเอง