กองทุนเพื่อความเสมอภาคฯ เดินหน้าโครงการ “ครูรัก(ษ์)ถิ่น” รุ่นที่ 4 แก้ปัญหาขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ตั้งเป้าผลิต 1,500 คน ภายในปี 2571
วันที่ 22 มิถุนายน 2565 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดประชุมชี้แจงการเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อร่วมเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครู ใน “โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น” รุ่นที่ 4 ปีการศึกษา 2566 มุ่งพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเป็นระบบ
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
- ยื่นภาษีปี 2567 หมดเขตเมื่อไหร่ ยื่นไม่ทันต้องทำอย่างไร
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
รองศาสตราจารย์ ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า ปัจจุบันระบบการผลิตครูของประเทศยังไม่ตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล อีกทั้งระบบการบรรจุครูของโรงเรียนในพื้นที่ทำให้ได้ครูที่ไม่ใช่คนท้องถิ่นมากถึงร้อยละ 80 จนเกิดปัญหาครูย้ายออกจากโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลจำนวนมาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโอกาสและคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนเหล่านี้
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงได้ดำเนินโครงการ “ครูรัก(ษ์)ถิ่น” โดยร่วมกับ 6 หน่วยงานประกอบด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.), กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.), สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา พัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเป็นระบบ และช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครู ครูไม่ครบชั้น รวมถึงพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลตามพื้นฐานและศักยภาพที่แตกต่างกัน
ซึ่งจะนำไปสู่ข้อเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบ และนโยบายสถาบันต้นแบบในการผลิตและพัฒนาครูของประเทศไทยที่มีอัตลักษณ์สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และความต้องการของประเทศ
“โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มุ่งทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาต้นแบบที่ร่วมโครงการในลักษณะเครือข่าย ร่วมพัฒนาหลักสูตรสร้างครูรุ่นใหม่ที่มีอัตลักษณ์ สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของชุมชนแต่ละภูมิภาค และสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ให้ได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีและได้รับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเองทั้งหมด
โดยนักศึกษาจะได้รับการบ่มเพาะให้เป็นครูของชุมชนที่มีคุณภาพสูง มีสมรรถนะทั้งทางวิชาการ และวิชาชีพ มีความสามารถพัฒนาผู้เรียนและชุมชนเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในโรงเรียนได้ ถือเป็นการลงทุนแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ตรงจุด สอดคล้องกับปัญหาของประเทศ”
รองศาสตราจารย์ ดร.ดารณี ยังกล่าวอีกว่า โครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินงานผลิตและพัฒนาครูตั้งแต่ปี 2563-2571 มีเป้าหมายผลิตครูให้ได้จำนวน 1,500 คน ปัจจุบันเป็นปีที่ 4 มีนักเรียนที่ได้รับโอกาสเข้าศึกษาต่อ เข้าเรียนครูในสาขาประถมศึกษาและปฐมวัยรวมทั้งสิ้น 861 คน และมีเป้าหมายในการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลจำนวน 696 แห่ง โดยมีสถาบันผลิตและพัฒนาครูเข้าร่วมโครงการจำนวน 16 สถาบันแล้ว
ด้าน ผศ.ดร.อนุชา พิมศักดิ์ รองคณบดีคณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 16 สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมกับ กสศ. ในการพัฒนาครูรัก(ษ์)ถิ่น กล่าวว่า ในอดีตการผลิตครูจะเป็นไปตามหลักสูตรของคุรุสภา แต่ในโครงการนี้เริ่มจากต้องปรับกระบวนการคิดและทำงานโดยเข้าไปค้นหาตัวเด็กแทน และต้องปรับหลักสูตรให้ตอบโจทย์กับพื้นที่ของชุมชน
โดยครูจะต้องมีทักษะการสอนที่หลากหลาย สามารถสอนได้ทุกระดับชั้น เพราะในพื้นที่ห่างไกลมีครูน้อย และหลักสูตรที่ได้พัฒนาร่วมกับ กสศ. นั้นยังมีความแตกต่างจากเดิม เพราะเกิดจากการลงพื้นที่สอบถามทางโรงเรียนและชุมชนว่าต้องการครูที่มีคุณสมบัติแบบไหน แล้วสถาบันก็จะพัฒนาครูให้มีทักษะตรงกับที่ชุมชนนั้น ๆ ต้องการ
“สิ่งที่แตกต่างคือการเป็นครูของท้องถิ่นจากคนในท้องถิ่นจริง ๆ มีทักษะในการเป็นนักพัฒนาชุมชน เพราะสภาพพื้นที่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นภาคการเกษตรที่หลากหลาย ดังนั้นครูรัก(ษ์)ถิ่นจึงต้องมีความรู้เรื่องการเกษตรที่ยั่งยืน มีความเข้าใจในศาสตร์ของพระราชา มีความรู้เรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีทักษะการเกษตรที่สามารถประยุกต์ใช้ในท้องถิ่นและนำเข้าสู่ชุมชนและสร้างความเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนและชุมชนได้จริง”
อย่างไรก็ตามโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ปีการศึกษา 2566 กำลังเปิดรับสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์หรือคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการประถมศึกษา หรือการศึกษาปฐมวัย และมีแนวคิดในการสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอน พัฒนาเด็กและเยาวชนได้ตามพื้นฐานและศักยภาพที่แตกต่างกัน โดยสามารถยื่นข้อเสนอโครงการ ผ่านระบบออนไลน์ที่ www.eef.or.th ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 หรือ 0-2079-5475 ต่อ 5