เบรกไม่อยู่! เทรนด์เงินฝากไหลเข้ากองทุนลูกแบงก์อื้อ

บลจ.ลูกแบงก์ ปักหมุด “ดึง” ลูกค้าเงินฝากโยกซื้อกองทุน “บลจ.บัวหลวง” เล็งดันกอง REIT น้องใหม่ ชูผลตอบแทน 6-7% ดูดเงินนักลงทุน

ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2559) สัดส่วนกองทุนรวมต่อเงินฝากทั้งอุตสาหกรรมมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนว่า ผู้มีรายได้ในประเทศไทย ให้ความสำคัญต่อการลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้นเมื่อเทียบกับการฝากเงินในธนาคาร หรืออีกมุมหนึ่งอาจชี้ให้เห็นว่ามูลค่าเงินลงทุนในกองทุนรวมขยายตัวได้ดีมากจนมีสัดส่วนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินฝาก ซึ่งข้อมูลล่าสุด (ปี 2559) สัดส่วนของเงินลงทุนในกองทุนรวมต่อเงินฝากอยู่ที่ 37.39% เพิ่มขึ้นกว่าปี 2554 หรือ 5 ปีย้อนหลัง ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 26.38%

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่า การลงทุนในกองทุนรวม เป็นเสมือนทางเลือกหนึ่งในการพักเงินของนักลงทุน จึงทำให้การเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ของ บลจ.ส่วนใหญ่ มักจะมาจากกองทุนตราสารหนี้แบบมีกำหนดอายุโครงการ (term fund) ซึ่งคล้ายกับการฝากเงินระยะสั้นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงในปี 2561

“เราเชื่อมั่นว่านักลงทุนจะสนใจซื้อกองทุนเพิ่มขึ้นในปี 2561 เพราะเท่าที่เห็นในปี 2560 เราพบว่านักลงทุนเข้ามาซื้อกองทุนผสม (mixed fund) ของ บลจ.บัวหลวง ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้สูงประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท และยังมีเงินอีกหลายพันล้านที่เข้ามาซื้อกองทุนรวมหุ้น แสดงว่านักลงทุนคงรู้สึกแล้วว่า การฝากเงินเฉย ๆ อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ในการหารายได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มธุรกิจเราก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่า ควรจะมีสัดส่วนเอยูเอ็มต่อเงินฝากรวมของแบงก์แม่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่” นายพีรพงศ์กล่าว

สำหรับในปี 2561 บลจ.บัวหลวงจะสำรวจความต้องการของนักลงทุน พร้อมทั้งเสนอขายกองทุนใหม่ ๆ ที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ราว 3 กองทุน โดยแบ่งเป็นกอง REIT ที่มีอาคารสำนักงานเป็นสินทรัพย์อ้างอิง มูลค่า 4.7 พันล้านบาท, กอง REIT ที่มีห้างสรรพสินค้าเป็นสินทรัพย์อ้างอิง มูลค่า 6-7 พันล้านบาท, กอง REIT ที่มีโรงแรมเป็นสินทรัพย์อ้างอิง มูลค่า 4.2 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยเสนอขาย โดยจะพิจารณาจังหวะขายอีกครั้ง นอกจากนี้จะมีกองทุนรวมหุ้นจีน กองทุนรวมตราสารหนี้จีน และกองทุนอื่น ๆ ด้วย

“กองทุน REIT ที่เราเสนอขายจะให้ผลตอบแทนราว 6-7% น่าจะตอบโจทย์นักลงทุนได้ เราเชื่อมั่นว่านักลงทุนจะให้ความสนใจกับกองทุนเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมา เราได้พิสูจน์ตัวเองแล้วในเรื่องของการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ” นายพีรพงศ์กล่าว

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ในปี 2561 บริษัทมีแผนจะร่วมมือกับธนาคารธนชาตมากขึ้น ด้วยการเพิ่มอัตราส่วนเอยูเอ็มต่อเงินฝากรวมให้สูงกว่าปัจจุบันที่อยู่ประมาณกว่า 20% ซึ่งยังถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ บลจ.ลูกแบงก์ทั่วไปที่อยู่ราว 35-40% และ บลจ.ขนาดใหญ่ที่อยู่ราว 50% อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งหากสามารถผลักดันได้จะช่วยให้สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น

“เราพบว่ามีฐานลูกค้าเงินฝากที่มีศักยภาพในการเข้ามาลงทุนกองทุนรวมได้อีกเยอะ แต่การจะดึงลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาอย่างไร เป็นสัดส่วนเท่าไหร่คงต้องมีการพิจารณากันต่อไป” นายบุญชัยกล่าว