หุ้นการบินยิ้มรับอานิสงส์บาทแข็ง-นักท่องเที่ยวโต

ส่องหุ้นกลุ่มการบินเทรดคึกคัก นักวิเคราะห์ 3 โบรกฯ ชี้นักลงทุนเก็งกำไรรับอานิสงส์เงินบาทแข็งค่า-จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มมากขึ้น หนุนกำไรสุทธิกลุ่มปรับตัวดีขึ้น เผยหุ้น “การบินไทย” ได้ประโยชน์มากสุดในกลุ่ม ลุ้นปีนี้กำไรโดยรวมของกลุ่มแตะ 2.7 หมื่นล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 1-18 ก.ค. 2560) ราคาหุ้นในกลุ่มการบินส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีการซื้อขาย (เทรด) หนาแน่น นำโดย บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นราว 2.19% จากระดับ 18.40 บาท สู่ระดับ 18.70 บาท, บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หุ้นขึ้นราว 2.12% จากระดับ 47.25 บาท มาอยู่ที่ 48.25 บาท และ บมจ.การบินไทย (THAI) เพิ่มขึ้น 1.55% จากระดับ 19.40 บาท มาอยู่ที่ระดับ 19.60 บาท ส่วน บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ปรับลดลงราว 0.80% จากระดับ 6.25 บาท สู่ระดับ 6.20 บาท

นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มสายการบินยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จะได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนหลักของกลุ่มนี้ คือ การซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้นทุนที่ถูกลง ขณะที่รายได้หลักอยู่ในสกุลเงินบาท จึงน่าจะช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิของกลุ่มสายการบินปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ผลดำเนินงานของกลุ่มการบินจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4/2560 เป็นช่วงไฮซีซั่นของกลุ่มการท่องเที่ยวและกลุ่มการบิน ซึ่งข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยล่าสุดเดือน มิ.ย. 2560 ได้ปรับขึ้นกว่า 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และส่งผลให้ครึ่งปีแรกนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตแล้ว 4.4% จากช่วงสิ้นปีก่อน

นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หุ้น บมจ.การบินไทยน่าจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในกลุ่ม เพราะมีรายจ่ายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่มากกกว่าหุ้นอื่น ๆ ขณะที่ BA และ AAV มีสัดส่วนรายได้และรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน ทำให้อาจไม่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากนัก

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในช่วงไตรมาส 2-3 ของทุกปี จะพบว่าตามปกติแล้ว ผลดำเนินงานของกลุ่มสายการบินจะไม่โดดเด่นนัก เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น (ช่วงที่ธุรกิจไม่ค่อยดี) ประกอบกับธุรกิจสายการบินภายในประเทศยังมีการแข่งขันด้านราคาตั๋วที่ยังค่อนข้างสูง ซึ่งจะกดดันให้กำไรของสายการบินอาจปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนได้ ส่วนในช่วงไตรมาส 4/2560 คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มจะกลับมาสูงสุดของปีนี้ เนื่องจากฐานกำไรของช่วงเดียวกันในปีก่อนอยู่ระดับค่อนข้างต่ำ ซึ่งเกิดจากไตรมาส 4/2559 เป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ และเป็นช่วงไว้อาลัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยบริษัทได้ประมาณการกำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มการบิน (AOT, THAI, AAV และ BA) ของปีนี้ จะทำได้ราว 27,164 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อนที่กำไรรวม 26,927 ล้านบาท

“คาดว่าประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐจะทำให้ต้นทุนสายการบินปรับตัวลดลง โดยยังแนะนำซื้อ BA และ AOT เพราะราคาหุ้นปรับตัวลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่ THAI และ AAV แนะนำสลับลงทุนตัวอื่นแทน” นายสุวัฒน์กล่าว

นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2560 มีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นถึงระดับ 1,650 จุด และมีโอกาสปรับตัวดีต่อเนื่องไปถึง 1,700 จุด ในช่วงไตรมาส 4/2560 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวแข็งแกร่ง ส่วนปัจจัยเสี่ยงในช่วงที่เหลือของปีนี้คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น และการลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งอาจกดดันให้ดัชนีหลุดระดับ 1,530 จุดได้

“คาดว่า EPS ปีนี้จะโตเฉลี่ยราว 8-10% หรืออยู่ที่ 114 บาทต่อหุ้น และ 125 บาทต่อหุ้นในปี 2561 โดยดัชนีหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสถึงระดับ 1,700 จุด และปี 2561 คาดอยู่ที่ 1,800 จุด โดยเฉพาะหากมีการเลือกตั้ง คาดว่าดัชนีมีโอกาสทะลุ 1,800 จุด ได้อย่างแน่นอน” นายอิสระกล่าว