ชี้ช่องเก็งกำไรหุ้นดักปันผลสูง 2 เดือนลุ้นโกย 10%-โนมูระฯชู 7 บจ.อู้ฟู่

โบรกฯโนมูระฯ เปิด 7 หุ้นปันผลเด่นงวดครึ่งหลังปี”60 สูง 3.7-5% หาจังหวะ “ซื้อสะสม” ก่อนประกาศปันผล แนะเทคนิคซ็อปหุ้นก่อนขึ้น XD ราว 2 เดือน ลุ้นผลตอบแทน 10% บล.ยูโอบี เคย์เฮียน แนะโยกกลุ่มหุ้นให้ยีลด์สูง “แบงก์-อสังหาฯ” บล.หยวนต้า เตือนหลบเสี่ยงช่วงตลาดพักฐาน “ไทยพาณิชย์”คาดปีนี้กำไร บจ.โต 10%

นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผย”ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนควรทยอยลงทุนในหุ้นกลุ่มปันผลดี เนื่องจากเริ่มเข้าใกล้เทศกาลประกาศงบฯของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) งวดไตรมาส 4/2560และจะตามมาด้วยฤดูการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 2560 ซึ่ง บจ.มักจะทยอยประกาศจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มี.ค.-พ.ค.ของทุกปี

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บล.โนมูระ พัฒนสิน วิเคราะห์จากข้อมูลสถิติหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา โดยแยกศึกษาเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.หุ้นที่มูลค่าตลาดขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) และหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดกลาง-เล็ก (สมอลแอนด์มิดแคป) พบว่าควรซื้อหุ้นปันผลก่อนวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล) และขายหลังจากขึ้น XD ซึ่งผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

ขณะที่ฝ่ายวิจัยได้คัดกรองหุ้นปันผลเด่นงวดครึ่งปีหลังในปี 2560 ซึ่งพิจารณาจากหุ้นที่คาดให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ยีลด์) สูงกว่า 3% และหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี รวมถึงผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตดี ซึ่งมีจำนวน 7 บริษัทโดยหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป นำโดยธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) คาดยีลด์ราว 5%, บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO)4.5%, บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) 3.5% และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) 3.2% และกลุ่มสมอลแอนด์มิดแคป ได้แก่ บมจ.นามยง เทอร์มินัล (NYT) 4.7%, บมจ.บางกอกแลนด์ (BLAND) 4.5% และ บมจ.พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง (PM) 3.7%

“กลยุทธ์สำหรับหุ้นปันผลในกลุ่มบิ๊กแคป ควรซื้อก่อนขึ้น XD ราว 2 สัปดาห์ และขายหลัง XD ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะได้ผลตอบแทนประมาณ 2.8-3.9% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นหุ้นนำดัชนี ซึ่งราคาหุ้นมักจะผันผวนตามภาวะตลาด จึงควรลงทุนในช่วงระยะสั้น ๆ ส่วนกลยุทธ์หุ้นปันผลกลุ่มสมอลแอนด์มิดแคป ควรซื้อสะสมก่อน XD ราว 2 เดือน และขายหลัง XD ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 9.2-9.6%” นายคณฆัสกล่าว

นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปีนี้การลงทุนหุ้นปันผลค่อนข้างลำบากกว่าปีอื่น ๆ เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้หุ้นที่ปันผลสูงมักอยู่ใน “กลุ่มหุ้นสื่อสาร” และ “กลุ่มโรงไฟฟ้า” แต่ในช่วงที่ผ่านมาผลดำเนินงานโดยเฉพาะกำไรสุทธิของกลุ่มสื่อสารปรับตัวไม่ดีนัก ความสามารถจ่ายปันผลอาจลดลงตามด้วย ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า พบว่า ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้ ยีลด์ของปันผล ดูไม่น่าสนใจ

จึงส่งผลให้ปีนี้หุ้นที่จ่ายปันผลได้ดี กลับมาเป็นกลุ่มธนาคารขนาดกลางหรือแบงก์ อาทิ TISCO, KKP และธนาคารกรุงไทย (KTB) ซึ่งคาดว่ามียีลด์สูงเฉลี่ย 4-5% และอีกกลุ่มที่คาดว่าจะจ่ายปันผลดีในรอบนี้ คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (แต่ต้องเลือกซื้อรายตัว) อาทิ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP, บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ซึ่งคาดว่ามียีลด์เฉลี่ยสูงถึง 5-6%

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ดัชนีหุ้นไทยจะยังคงเคลื่อนไหวทดสอบนิวไฮต่อเนื่อง แต่ในระยะสั้นดัชนีอาจผันผวนบ้าง เพราะในเชิงจิตวิทยาเมื่อเข้าใกล้แนวต้านใหญ่อาจมีแรงขายทำกำไรเร่งขึ้น

ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย หากมาลงทุนในหุ้นปันผลเด่นก็จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเงินปันผลเปรียบเสมือนเบาะรองรับเมื่อราคาหุ้นเกิดการพักฐานหรือปรับฐานรอบสั้น

สำหรับกลยุทธ์หุ้นปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 2560 หยวนต้าได้คัดเลือกหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลโดดเด่นสุด 5 อันดับแรก คือ KKP ยีลด์อยู่ที่ราว 4.97%, TISCO อยู่ที่ 4.65%, บมจ.แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (AIT) ที่ 4.29%, บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) ที่ 4.1% และ AP ที่ 3.75%

ด้านนายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปี2561 ดัชนีหุ้นไทยยังคงมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นต่อไปถึงระดับ 1,900 จุด คิดเป็นอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอีหรือ PER )อยู่ที่ 16 เท่า จากปัจจุบัน 14.4 เท่า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะเติบโตได้ประมาณ 8-10% โดยปัจจัยบวกสำคัญ ได้แก่ นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน วัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ที่กำลังเริ่มต้น รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการที่เกี่ยวเนื่องจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และภาวะเงินฝืดที่กำลังหมดไป

“ในครึ่งปีหลังคาดว่าเลือกตั้งจะเป็นแรงหนุนความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของต่างชาติให้มีมุมมองที่ดีขึ้น และช่วยขับเคลื่อนดัชนีให้ไปต่อได้” นายพรเทพกล่าว