ก้าวย่างสู่การเป็น ศูนย์กลาง IT ครบวงจร

คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก

โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล EXIM BANK

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา อินเดียได้กลายเป็นตลาดผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยในปี 2559 ตลาดผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อินเดียมีมูลค่าราว 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจาก 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ฯในปี 2555 หรือขยายตัวเฉลี่ยราว 11% ต่อปี

ขณะที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ของอินเดียคาดการณ์ความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ในอินเดียจะเพิ่มขึ้นแตะ 4 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2563 หรือขยายตัวเฉลี่ย 62% ต่อปี ในอีก 3 ปีข้างหน้า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากเป็นเพราะกำลังซื้อของชาวอินเดียที่เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีแล้ว ยังมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่อินเดียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Service Hub) ที่สำคัญของโลก

แม้ความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มอย่างรวดเร็ว แต่หากพิจารณาภาคการผลิต พบว่าอุตสาหกรรมนี้ของอินเดีย ยังพัฒนาไปได้ไม่มากนัก โดยในปี 2557 อินเดียผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มูลค่าราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ หรือมีสัดส่วนเพียง 40% ของความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจำนวนมากเพื่อเติมเต็มความต้องการในประเทศ โดยในปี 2559 อินเดียต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นมูลค่ากว่า 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 10% ของมูลค่านำเข้ารวม ถือเป็นสินค้านำเข้าอันดับ 3 และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้อินเดียประสบปัญหาขาดดุลการค้าเรื้อรัง

ภายใต้นโยบาย Make In India ที่ถือกำเนิดในปี 2557 มีเป้าหมายพัฒนาภาคการผลิตในประเทศ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ถูกยกเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายอันดับต้น ๆ ที่รัฐบาลต้องการดึงดูดต่างชาติให้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในอินเดีย เพราะนอกจากจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้าแล้ว ยังช่วยต่อยอดอุตสาหกรรม IT ให้ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในส่วนภาคบริการด้าน IT ที่อินเดียเชี่ยวชาญอยู่แล้ว และภาคการผลิตสินค้าด้าน IT เพื่อยกระดับประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน IT อย่างครบวงจร ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลอินเดียให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่นักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ อาทิ อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% และยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ เป็นต้น

นับตั้งแต่นโยบาย Make in India เริ่มใช้ในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในอินเดียแล้วคิดเป็นมูลค่าราว 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ของอินเดีย คาดว่าเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 ซึ่งจะทำให้อินเดียสามารถผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศจนสามารถส่งออกได้ในปี 2563 เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันมีผู้ผลิตผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลกหลายรายได้เข้าไปลงทุนในอินเดียแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Intel, Foxconn และ Huawei เป็นต้น

การเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของอินเดียในปัจจุบัน ถือเป็นโอกาสของไทยทั้งในด้านการค้าและการลงทุน ในด้านการค้า ปัจจุบันแม้อินเดียไม่ใช่ตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญของไทย เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ไปอินเดียคิดเป็นสัดส่วนเพียงราว 1% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของไทย แต่พบว่ามูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดของไทยไปอินเดียขยายตัวในระดับสูง อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า วงจรรวม และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานสำคัญของภูมิภาคและของโลก ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของอินเดียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ทำให้ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก

ขณะที่ในมิติด้านการลงทุน ด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งด้านภาษีและมิใช่ภาษีที่รัฐบาลอินเดียให้กับนักลงทุนต่างชาติเพื่อดึงดูดเงินลงทุน ถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพในการออกไปลงทุนในอินเดีย ซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำคัญของโลกในอนาคตอันใกล้

 


Disclaimer : เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับ EXIM BANK