บล.กสิกรไทย ปรับเพิ่มเป้า SET Index ปี’61 ที่ 1,835 จุด ชี้ศก.โตต่อเนื่อง-ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า มอง “หุ้นแบงก์” กำลังสำคัญดันดัชนีฯ

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) อยู่ที่ 1,835 จุด จากเป้าเดิมที่ 1,800 จุด โดยมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 111.7 บาทต่อหุ้น บน P/E ที่ 16.4 เท่า นับเป็นบริเวณที่แพงที่สุดในรอบ 10 ปี แต่คาดว่าจะไปถึงได้ ในอดีต SET Index เมื่อมีการคำนวณออกมาจะพบ “ค่ากลาง” ซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีฯขึ้นไปยืนเหนือหรือต่ำกว่าค่ากลางได้ โดยหากต่ำกว่าประเมินไว้แสดงว่าในปีนั้นบ้านเมืองจะต้องมีเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้น เช่น รัฐประหาร ประท้วง เป็นต้น ในขณะหากสูงกว่าที่ประเมินไว้แสดงว่าปีนั้นมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี และมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามามากกว่าที่คิด

“ตัวอย่างเช่น ในปี 2550 เราคาดการณ์ SET Index ไว้อยู่บริเวณ 700 จุด แต่ปรากฎว่าดัชนีฯสามารถขึ้นไปได้ 870 จุด ซึ่งสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ 170 จุด เนื่องจากปี 2550 จีดีพีเติบโตพุ่งแรงถึง 5% มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและบัญชีการค้าค่อนข้างสูง และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก รวมถึงนักลงทุนต่างชาติขนเงินเข้ามาซื้อกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่สูงมากในสมัยนั้น” นายประกิตกล่าว

นายประกิตกล่าวว่า ในปีนี้เราวางเกณฑ์ดัชนีฯอยู่ที่ 1,835 จุด หากจะสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ อาจจะมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจในประเทศที่มีโอกาสขยายตัว 4% ดีต่อเนื่องจากปี 2560 ที่มีจีดีพีโต 4.1% ประกอบกับสถานะทางการเงินของประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งในแง่ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 45% ของจีดีพี และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและบัญชีการค้าที่คาดว่าจะสูงถึง 9.9% และ 5.8% ของจีดีพี

และปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองรัชกาลใหม่ คงจะได้เห็นงานเทศกาลต่าง ๆ ออกมาค่อยข้างมาก รวมถึงหากพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (หรือร่าง พ.ร.บ.อีอีซี) ออกมาและในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 61 นี้ กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และที่มาซึ่ง ส.ว.ออกมาโดยไม่ต้องรอ กกต.ประกาศเลือกตั้งในเดือน พ.ค.61 น่าจะทำให้เดาได้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง และทำให้เกิดสภาพคล่องในตลาดดีขึ้นจนสามารถทำให้ดัชนีฯขึ้นไปซื้อขายในระดับที่แพงขึ้นต่อไปได้ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่จะผลักดันให้ดัชนีขึ้นไปทดสอบที่กรอบบนของปีที่ 1,970 จุด

อย่างไรก็ตาม หากดัชนีต่ำกว่าที่ประเมินไว้อาจจะมาจากปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องของการเลือกตั้งไม่เกิดขึ้น เมื่อคสช.ตัดสินใจบริหารประเทศต่อไป และในช่วงไตรมาส 1/61ความผันผวนเนื่องจากสหรัฐมีการเปลี่ยนผ่านประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ซึ่งการตีความนโยบายจากนักลงทุนจะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอ่อนไหว แม้จะมีนโยบายที่ไม่แตกต่างกัน อีกทั้งธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจมีการปรับนโยบายทางการเงินหลังจากเศรษฐกิจเติบโตดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ช่วงกลางเดือนมี.ค.61 เป็นช่วงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งอาจเห็นการขายทำกำไรออกมาคงจะได้เห็นดัชนีที่กรอบล่างต่ำกว่าบริเวณ 1,700 จุดได้ แต่หลังจากนั้นให้ติดตามการปรับประมาณการผลประกอบการของ (บจ.) ซึ่งจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยได้

นายประกิตกล่าวว่า ในปี 2561 ประเมินว่ากลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเป็นกำลังสำคัญดันดัชนี เพราะว่ากลุ่มพลังงานปัจจัยด้านราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะกลุ่มธนาคารยังซื้อขายค่อนข้างถูกหรือ Valuation ระดับของราคา บน P/E ที่ 10 เท่า และ P/BV ที่ 1.1 เท่า ยังถือว่าต่ำมาก และปีนี้ถือเป็นยุคของอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยน่าจะเป็นช่วงขาขึ้น จะทำให้กลุ่มธนาคารยอมรับเทรดบน P/E และ P/BV ที่แพงขึ้น ทำให้กลุ่มธนาคารจะเป็นตัวดึงให้ดัชนีขึ้นมาอยู่ที่ 1,835 จุดหรือสูงกว่านั้นได้ รวมถึงปัจจัยการลงทุนและการบริโภคที่มีแนวโน้มดีที่สุดในรอบหลายปีจะส่งผลให้เกิดความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ โดยคาดว่ากำไรจากกลุ่มธนาคาร 8 แห่งโดยรวมจะฟื้นตัวขึ้น 10% หรือเพิ่มขึ้น 2.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 2.25 แสนล้านบาทต่อปี

โดยแนะนำหุ้นกลุ่มแบงก์ ได้แก่ BBL นอกจากกลุ่มธนาคารที่มีความน่าสนใจแล้ว กลุ่มหุ้นที่อิงกับประเด็นการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศและมี Upside ที่สูงกว่าตลาดรวมถึงสูงกว่าหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน จะเป็นหุ้นที่เป็นเป้าหมายในการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ คือ STEC, TICON, ROBINS, CPN, BEAUTY, ORI, TRUE