บล.เมย์แบงก์คาดหุ้นไทยไร้เสน่ห์ครึ่งปีหลัง ดัชนีแกว่งแคบ แต่ลั่นพร้อมปักหลักสู้ศึกธุรกิจโบรกในไทยต่อแน่นอน

บล.เมย์แบงก์คาดตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังไร้เสน่ห์ ตลาดแกว่งแคบในกรอบ 1,500-1,600 จุด หลังฟันด์โฟลว์ยังไม่มีสัญญาณไหลเข้า-ผลประกอบการ บจ.โดยรวมขยายตัวไม่เร้าใจ แต่ยัน พร้อมปักหลักสู้ศึกการแข่งขันของธุรกิจโบรกเกอร์ในประเทศไทยต่อ ลั่นเตรียมเพิ่มมาร์เก็ตติ้ง 200 คน ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด 9-10% ในปีนี้

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าดัชนีน่าจะอยู่ในกรอบ 1,500-1,600 จุด โดยสาเหตุที่ดัชนีไม่สามารถแกว่งตัวได้มากนัก เนื่องจากส่วนตัวเชื่อว่าเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะไหลเข้าประเทศไทยไม่มากนัก เช่นเดียวกับในช่วงครึ่งปีแรก เพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูง โดยทั้งปีนี้คาดว่ามีมีอัตราผลตอบแทนต่อหุ้น (EPS) ที่ราว 6% และคาดว่าในปี 2561 น่าจะอยู่ในระดับไม่ถึง 10% ดังนั้นหากเทียบกับราคาหุ้นโดยรวม ณ ปัจจุบัน จึงถือได้ว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้น (อัพไซด์) น้อยมาก

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องระวังในช่วงครึ่งปีหลังด้วย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ที่จะดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้น การลดขนาดงบดุล (Balance sheet) ของธนาคารกลางสหรัฐ และการเดินหน้านโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ได้เคยประกาศไว้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการบรรยากาศการลงทุน หากมีสัญญาณที่เป็นไปในเชิงลบ

“ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังคงไปไม่ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะทั้งฟันด์โฟลว์ ทิศทางผลประกอบการ บจ.ไทย ก็ยังไม่ค่อยดีนัก เช่น หุ้นกลุ่มใหญ่อย่างธนาคาร ผลประกอบการก็ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก และมีปัญหาในเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กลุ่มพลังงาน ก็น่าจะได้รับผลลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง โดยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล จากเดิมที่คาดไว้ระดับ 55 ดอลลาร์ต่อบาเรล ขณะที่กลุ่มสื่อสาร ก็ยังต้องหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งต้องติดตามว่าการแข่งขันของผู้ให้บริการค่ายต่างๆ จะเป็นอย่างไร ดังนั้นเมื่อหุ้นใหญ่ยังไม่ดีเลย โอกาสที่ดัชนีจะไปต่อได้ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย” นายสุกิจกล่าว

นายธนัท วงษ์ชูแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ สายงานออนไลน์ บิซิเนส บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับกระแสข่าวที่ว่า เมย์แบงก์จะขายกิจการในประเทศไทยนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และยังเดินหน้าทำธุรกิจโบรกเกอร์ต่อ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพาะการดึงเจ้าหน้าที่การตลาดนั้น ได้ส่งผลให้ปัจจุบันเหลือจำนวนมาร์เก็ตติ้งจำนวน 700 คน จากปีก่อนที่มีราว 800 คน ดังนั้น จึงมีแผนจะเพิ่มจำนวนมาร์เก็ตติ้งอีกประมาณ 200 คน ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อรองรับปริมาณการซื้อขายของลูกค้า

สำหรับจำนวนบัญชีลูกค้า ช่วงต้นปีมีประมาณ 1.7 แสนบัญชี คาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีกราว 2.5 หมื่นบัญชี ขณะที่จำนวนสาขา ปัจจุบันมี 56 แห่ง แต่กำลังจะปิดตัว 3 สาขา ทำให้สิ้นปีนี้ น่าจะมีจำนวนสาขาอยู่ราว 53 แห่ง และคาดว่าปีนี้จะมีส่วนแบ่งตลาด 9-10%