ไมเนอร์ฯ ขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์หมดเกลี้ยง 1.3 หมื่นล้านบาท

ไมเนอร์ฯ

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ประสบความสำเร็จขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ 1.3 หมื่นล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ MINT ในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ระดับโลก

วันที่ 7 กันยายน 2565 บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนชุดใหม่ เมื่อวันที่ 1-2 และ 5-6 กันยายนที่ผ่านมา ผ่านสถาบันการเงิน 10 แห่ง เพื่อทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนชุดเดิม (MINT18PA) จำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

โดยนักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดจองซื้อเต็มมูลค่าที่เสนอขายจำนวน 1 หมื่นล้านบาท และบริษัทได้ใช้หุ้นกู้ส่วนที่สำรองเพื่อเสนอขาย (Greenshoe) เพิ่มเติมอีกจำนวน 3 พันล้านบาท รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1.3 หมื่นล้านบาท ทั้งจากผู้ลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนชุดเดิมที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดใหม่ของ MINT และผู้ลงทุนรายใหม่

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์
ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์

สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนชุดใหม่ดังกล่าว ซึ่ง MINT มีสิทธิไถ่ถอนในปีที่ 5 เป็นต้นไปนั้น ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ย 5 ปีแรกอยู่ที่ร้อยละ 6.10 ต่อปี โดยจะจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และจะปรับอัตราดอกเบี้ยทุก 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ทั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB+” ในขณะที่ MINT ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ MINT กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนชุดใหม่นี้ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพทางธุรกิจของ MINT และกลยุทธ์ในการบริหารจัดการทางการเงินในช่วงของการฟื้นตัวภายหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นทั่วโลก และกลยุทธ์ในการดำเนินงานทางธุรกิจของบริษัท ส่งผลให้ MINT มีผลการดำเนินการที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยสามารถพลิกฟื้นกลับมาสร้างผลกำไรได้ในไตรมาส 2 ปี 2565 และมีเป้าหมายทำกำไรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้และในปีต่อ ๆ ไป”

นายชัยพัฒน์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องภายหลังจากการยกเลิกข้อจำกัดในด้านการเดินทางระหว่างประเทศในทุกประเทศที่ MINT มีการดำเนินงานอยู่ โดยความต้องการในการเดินทางเพื่อการพักผ่อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการเดินทางเพื่อธุรกิจ ส่งผลให้กลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และมัลดีฟส์ของ MINT จะยังคงมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นสูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป

ในขณะที่กลุ่มโรงแรมในประเทศไทยมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ในระดับที่สูงกว่าร้อยละ 50 จากร้อยละ 31 ในไตรมาส 1 ปี 2565 และราคาค่าห้องพักเฉลี่ยในระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19

ส่วนไมเนอร์ ฟู้ด มีแผนที่จะลงทุนในการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ทันสมัยและผลักดันการเติบโตของยอดขายผ่านนวัตกรรมใหม่ ๆ ท่ามกลางการบริโภคภายในประเทศไทยและออสเตรเลียที่แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่สาขาร้านอาหารทั้งหมดในประเทศจีนได้กลับมาเปิดให้บริการนั่งรับประทานอาหารภายในร้านและกลับมาสร้างผลกำไรในเดือนกรกฎาคม


นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาช่องทางการจำหน่ายจากร้านค้าและออนไลน์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางการเติบโตในธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างรวดเร็ว และการเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยตามศูนย์การค้าอีกครั้ง ทั้งนี้ ในส่วนของแผนการขยายธุรกิจ MINT ตั้งเป้าค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุน (CAPEX) อยู่ที่จำนวน 6 พันล้าน และ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ สำหรับทั้ง 3 ธุรกิจ”