ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินระหว่างสัปดาห์ ค่าเงินดอลลาร์นั้นเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินหลัก ๆ จากการปิดหน่วยงานราชการชั่วคราวในวันศุกร์ที่ผ่านมา (19/1) โดยในวันจันทร์ทางสภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติมาตรการระยะสั้น เพื่อจัดสรรเงินทุนให้แก่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ ไปจนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 หลังจากมาตรการดังกล่าวผ่านวุฒิสภามาแล้ว อย่างไรก็ดี มาตรการนี้ไม่ได้ส่งแรงหนุนต่อค่าเงินดอลลาร์เท่าไรนัก เพราะว่ามาตรการนี้ช่วยจัดสรรเงินทุนให้แก่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐเป็นเวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น และพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันยังคงขัดแย้งกันในหลายประเด็น ตลอดทั้งสัปดาห์ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยร่วงลงหนักในท้ายตลาด วันพุธหลังจากที่นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐระบุว่า เขาขานรับดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และกล่าวว่าดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงนั้นเป็นผลดีกับทางสหรัฐ โดยในวันศุกร์ (26/1) ค่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า เขาต้องการให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งสวนทางกับความเห็นก่อนหน้านี้ของนายสวีเวน มนูชิน ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจว่าความเห็นของ ปธน.ทรัมป์จะเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางการอ่อนค่าของดอลลาร์ได้หรือไม่ เนื่องจากความน่าสนใจของผลตอบแทนของดอลลาร์กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการที่ธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกกำลังจะปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลง จากก่อนหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐเป็นเพียงธนาคารกลางแห่งเดียวที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สำหรับค่าเงินบาทเปิดตลาดในเช้าวันจันทร์ (22/1) ที่ระดับ 31.89/91 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (19/1) ที่ 31.86/88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินในส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากที่วุฒิสภาสหรัฐ ปิดทำการหน่วยงานราชการชั่วคราว ตลอดทั้งสัปดาห์ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากแรงหนุนของเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ และแรงขายดอลลาร์จากกลุ่มผู้ส่งออก แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่หักล้างกันระหว่างรัฐมนตรีการคลังและประธานาธิบดีสหรัฐเรื่องนโยบายค่าเงินดอลลาร์ในวันศุกร์ก็ตาม โดยทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย เปิดเผยว่า ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศตามสถานการณ์การค้าโลกที่เกิดขึ้น และค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออก ซึ่งปัจจัยการแข็งค่าของค่าเงินบาท เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการดำเนินนโยบายของ ปธน.ทรัมป์ เรื่องนี้ทางกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ติดตามอยู่แล้ว ขณะเดียวกันทางกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องประเมินและคอยดูผลกระทบ จึงต้องเตรียมมาตรการบริหารจัดการเพื่อตั้งรับ และกำหนดแนวทางการค้า หลังจากที่มีความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายของสหรัฐต่อเนื่อง ขณะที่นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวในวันศุกร์ (26/1) ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ารุนแรง ส่งผลให้เงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาครวมทั้งเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทาง ธปท.กังวลว่าหากเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงได้ ธปท.จึงยกระดับการดูแลและเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด รวมทั้งพร้อมทบทวนมาตรการเพิ่มเติมหากเห็นการเคลื่อนไหวของค่าเงินอย่างผิดปกติ ระหว่างสัปดาห์ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.28-31.92 บาท/ดอลลาร์ และปิดตลาดวันศุกร์ที่ระดับ 31.34/36 บาท/ดอลลาร์
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
สำหรับการเคลื่อนไหวสกุลเงินยูโรในสัปดาห์นี้ ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.1227/29 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (19/1) ที่ระดับ 1.2275/78 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากการคาดการณ์ของนักลงทุนว่าทางธนาคารกลางยุโรปจะมีแผนยุติการใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ในการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในวันพฤหัสบดี (25/1) ที่ผ่านมา ทางธนาคารกลางยังคงนโยบายการเงินไว้เช่นเดิม โดยมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0 เปอร์เซ็นต์ พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับทางอีซีบีที่ระดับ -0.40 เปอร์เซ็นต์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ทางอีซีบียังประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนจนถึงเดือนกันยายน ขณะเดียวกันก็ยืนยันที่จะเพิ่มการเข้าซื้อพันธบัตรหากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อย่ำแย่ง ซึ่งทางประธานอีซีบี นายมาริโอ ดรากี กล่าวภายหลังการประชุมว่า ข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปบ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมที่แข็งแกร่ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มขึ้นในระยะกลาง อย่างไรก็ดี ทางอีซีบีอาจจะต้องทบทวนแผนกลยุทธ์หากความเห็นของสหรัฐเกี่ยวกับค่าเงินดอลลารร์ที่อ่อนค่าซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสภาวะทางการเงิน สำหรับข้อมูลทางเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดในยุโรปนั้น ทาง Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนีเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีพุ่งขึ้นสู่ระดับ 117.6 ในเดือนมกราคม เทียบเท่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2560 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 117.1 ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.2212-1.2536 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.2468/70 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนสัปดาห์นี้ ค่าเงินเยนเปิดตลาดในวันจันทร์ (22/1) ที่ระดับ 110.80/83 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (19/1) ที่ระดับ 111.61/64 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ บีโอเจระหว่างวันที่ 22-23 นี้ ภายหลังการประชุม บีโอเจตัดสินใจตรึงนโยบายการเงินไว้ตามเดิม และแสดงความเห็นในทางบวกมากขึ้นต่อการคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับช่วง 3 เดือนก่อน โดยสิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของบีโอเจที่ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยหนุนอัตราเงินเฟ้ออย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับเป้าหมายที่ 2 เปอร์เซ็นต์ โดยในวันพฤหัสบดีค่าเงินเยนเคลื่อนไหวแตะระดับ 108.50 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ภายหลังจากที่มีความเห็นเรื่องการขานรับการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ของนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ทั้งนี้ ค่าเงินเยนปรับตัวอ่อนค่าลงมาเล็กน้อยเมื่อเทียบดอลลาร์ในวันศุกร์ภายหลังที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐกล่าวว่า เขาต้องการเห็นดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งสวนทางกับความเห็นก่อนหน้าของนายมนูชิน ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 108.48-111.22 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 108.94/95 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat
สามารถดาวน์โหลด ประชาชาติธุรกิจ ฉบับ e-Newspaper
หรือ e-Book ได้ที่แอปพลิเคชั่น Ookbee เลือก “ประชาชาติ”