HENG ชี้ชัด สคบ.คุมดอกเบี้ยเช่าซื้อไม่กระทบ เหตุคิดไม่เกินเพดานอยู่แล้ว

สุธารทิพย์ พิสิฐบัณฑูรย์ - เฮงลิสซิ่ง

HENG ประเมิน สคบ. คุมเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อไม่กระทบผลดำเนินงานบริษัท เหตุปัจจุบันคิดดอกเบี้ยลูกค้าไม่เกินเพดานอยู่แล้ว พร้อมคาดการณ์แนวโน้มผลงานไตรมาส 3/65 ขยายตัวต่อเนื่อง

วันที่ 11 ตุลาคม 2565 นางสุธารทิพย์ พิสิฐบัณฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายใหญ่ของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ ‘เฮงลิสซิ่ง’ เปิดเผยว่า จากนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ที่ต้องการควบคุมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ

โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในไตรมาสแรกของปี 2566 หลังจากที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาและคณะกรรมการ สคบ. เสนอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเตรียมประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อต่อปีสำหรับรถยนต์ใหม่ไม่เกิน 10% ส่วนรถยนต์มือสองไม่เกิน 15% และรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 23%

“HENG ประเมินว่า หากประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ HENG เรียกเก็บจากลูกค้าใกล้เคียงและต่ำกว่าเพดานโดยเฉลี่ยอยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าจะบริหารจัดการต้นทุนให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าวของ สคบ.ได้ เพื่อผลักดันการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อให้ขยายตัวตามแผนที่วางไว้”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมความพร้อมเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมมุ่งบริหารจัดการความเสี่ยงจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่ง HENG ได้รับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงิน ทำให้ต้นทุนการเงินลดลง ช่วยส่งเสริมขีดความสามารถการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้าในท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ที่คาดว่าจะขยายพอร์ตสินเชื่อรวมเติบโต 30% ได้ตามเป้าหมาย

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากความสามารถในการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้าในท้องถิ่นที่มีความต้องการแหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้น ภายหลังจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการมุ่งเน้นควบคุมคุณภาพลูกหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพิจารณาสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้ จึงคาดว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLs จะมีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่อง