บล.บัวหลวง ประเมินดัชนีฯตลาดหุ้นไทยแตะนิวไฮกลางปีนี้ที่ 1,860 จุด

บล.บัวหลวง ประเมินดัชนีฯตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำ “New High” กลางปีนี้ที่ระดับ 1,860 จุด รับเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง-กำไรบริษัทจดทะเบียนโตเด่น มองครึ่งปีหลังดัชนีฯปรับตัวลดลงอยู่ที่ 1,760-1,780 จุด เหตุยุโรป-ญี่ปุ่น ลดมาตรการ QE แนะช่วง “บาทแข็ง” ไม่ลงทุนกลุ่มหุ้นปิโตรเคมี-น้ำมัน-โรงไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์-ขนส่ง

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นทำนิวไฮได้ในช่วงกลางปีนี้ ที่ระดับ 1,860 จุด หลังจากเศรษฐกิจของไทยมีโอกาสขยายตัวอยู่ที่ 3.9% และกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตดี ซึ่งโดยปกติแล้วในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปีจะทำกำไรสูงสุดจึงคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 2.8-3.8 แสนล้านบาท แต่หากกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 1/61 ออกมาต่ำกว่าคาดจะทำให้มีโอกาสกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงได้ โดยมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีฯอาจจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1,760-1,780 จุด จากผลกระทบของยุโรปและญี่ปุ่นลดมาตรการ QE

“เรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,860 จุด ด้วย P/E ที่ 17 เท่า และมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 110.6 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 11% จากปีที่แล้ว” นายชัยพรกล่าว

นายชัยพร กล่าวว่า ด้านปัจจัยการเลือกตั้งหากมีการเลื่อนออกไปอีก 3 เดือน อาจจะไม่ได้รับผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย แต่หากนานไปจนกระทั้ง 1 ปี คาดว่าจะทำให้ดัชนีฯปรับตัวลดลงได้ ทั้งนี้จากการเข้าพบกับผู้จัดการกองทุนต่างชาติในช่วงปลายปีที่ผ่านมาพบว่าจะยังไม่มีฟันด์โฟลว์หรือเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยเนื่องจากต่างชาติยังมองประเด็นการเลือกตั้งเป็นปัจจัยหลัก โดยในส่วนประเด็นเรื่องของ “ค่าเงินบาท” คาดว่าปีนี้จะปรับประมาณการณ์จาก 34 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 32-32.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยทางด้านดุลการค้าของไทยยังเกินดุลต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐ โดยแนะนำว่าในช่วง “เงินบาทแข็งค่า” ไม่ควรลงทุนหุ้นในกลุ่มดังต่อไปนี้

1.ปิโตรเคมีและน้ำมัน เนื่องจากเป็นผลลบต่อกำไรหลัก

2.กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากหากมีการปรับค่า Ft ที่ช้าเกินไปหลังจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

3.กลุ่มสายการบิน น่าจะเห็นผลกระทบเชิงลบต่อกำไรหลัก

4.กลุ่มการเกษตรและวัสกุก่อสร้าง อาจจะเห็นผลกระทบเชิงลบที่ค่อนข้างมากจากต้นทุนที่สูงขึ้นและรายได้จากการส่งออกที่ลดลง บางบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบที่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้ทันทีเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

5.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มการขนส่ง ได้รับผลกระทบจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเนื่องจากมีรายได้สุทธิส่วนใหญ่ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ


อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้หันไปลงทุนในกลุ่มหุ้นแบงก์ (ธนาคารพาณิชย์) ที่คาดว่าหลังจากมีการตั้งสำรองมาระยะหนึ่งแล้ว ในปีนี้น่าจะมีกำไรเติบโตอยู่ที่ 10% หรือกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับความงาม และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากจะมีการเติบโตที่ดี