POLY ซื้อขายวันแรกราคาอยู่ที่ 6.70 บาท ต่ำจอง 1.47%

บมจ.โพลีเน็ต เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดยานยนต์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “POLY” ราคาเปิดอยู่ที่  6.70 บาท ลดลง 0.10 บาท ต่ำจอง 1.47% จากราคาไอพีโอ 6.80 บาท

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 บริษัท โพลีเน็ต จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดยานยนต์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “POLY” ราคาเปิดอยู่ที่  6.70 บาท ลดลง 0.10 บาท ต่ำจอง 1.47% จากราคาไอพีโอ 6.80 บาท

POLY ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาง พลาสติก และซิลิโคนขึ้นรูป แบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบผลิตแม่พิมพ์ คิดค้นพัฒนาสูตรการผลิต ตลอดจนขึ้นรูปชิ้นงานตามความต้องการของลูกค้าและการใช้งานที่หลากหลาย ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive) เช่น ยางกันฝุ่น หน้ากากช่องแอร์ และวาล์วซิลิโคน เป็นต้น

โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน Tier-1 นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical) เช่น ส่วนประกอบซิลิโคนชุดช่วยหายใจ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ช่วยในการผ่าตัดต่าง ๆ และ อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) เช่น ถุงซิลิโคนใส่อาหาร ซีลยางบรรจุภัณฑ์ ฝากรองชา และส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

POLY มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขายไอพีโอ (IPO) 450 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 330 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 120 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2565 ในราคาหุ้นละ 6.80 บาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 3,060 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 20.4 เท่า โดยมีบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

การระดมทุนในครั้งนี้ จึงเป็นการเสริมความแข็งแรงด้านเงินทุนให้บริษัท ใช้สำหรับลงทุนในโครงการขยายโรงงาน และลงทุนเครื่องจักร เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 16.6% ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนในระยะยาว

POLY มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองตามกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงาน แผนการลงทุน ฐานะทางการเงิน สภาพคล่อง แผนการขยายธุรกิจและความเหมาะสมอื่น ๆ รวมถึงการบริหารงานของบริษัทในอนาคต