“ก้องเกียรติ” ถอดรหัส ความเสี่ยง “หุ้นขาขึ้น – ICO”

ปีนี้นับเป็นปีที่ตลาดทุนไทยถูกกระแสโลกลากไปไกลเหนือคาด โดยเฉพาะดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดและยืนเหนือระดับ 1,800 จุด ด้วยวอลุ่มสูงเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 7-8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในงานแถลงแผนธุรกิจและกลยุทธ์ปี 2561 ของกลุ่มบมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) นำทีมโดย “ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” ประธานกรรมการบริหาร ASP ได้ฉายภาพประเด็นร้อนที่เคลื่อนไหวของตลาดทุนไทยที่น่าสนใจ

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ปีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยคงจะลงทุนไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว หลังจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ได้ทำสถิติสูงสุดเกือบทุกประเทศ (ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่น) จึงอาจมีสัญญาณพักตัวระยะสั้นหรือพลิกกลับมาเป็นขาลงได้ หากว่าตัวแปรที่สำคัญ คือ กำไรของตลาดออกมาไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ ขณะที่ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐที่คาดว่าปรับขึ้น 3-4 ครั้งในปีนี้ ก็อาจฉุดเม็ดเงินไหลกลับออกไปยังสหรัฐได้

อีกทั้งปัจจัยเรื่องการเมืองไทย ที่กังวลต่อการเลื่อนการจัดการเลือกตั้งก็ยังมีผลต่อตลาดหุ้นไทยได้ เนื่องจากสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นปัจจุบันราว 80-90% เป็นรายย่อยและสถาบันในประเทศ ซึ่งหากมีกระแสข่าวในประเทศออกมากดดันมาก ๆ ก็อาจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างมาก

ปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกหุ้นอย่างแท้จริง เพราะระดับที่ดัชนีขึ้นไปจุดสูงสุด ทำให้ค่าพี/อีสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม พอมีหุ้นบางตัวที่ยังเลือกลงทุนได้ เช่น บริษัทที่ธุรกิจยังเติบโตได้อีกมาก หรือไม่ถูก disrupt รวมถึงเน้นเลือกกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสไป disrupt ธุรกิจอื่น ๆ ได้

“นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว อะไรที่ขึ้นเยอะ ก็จะลงเยอะ และอะไรที่ลงเยอะ ก็อาจจะกลับมาขึ้น ขณะที่ในสายตานักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนัก เนื่องจากราคาหุ้นไทยปัจจุบัน ถือว่าไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นแบงก์หรือหุ้นพลังงานที่ขึ้นมาสูงในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว”

ส่วนประเด็นร้อนเรื่องการระดมทุน ICO (initial coin offering) เขามอง 2 ด้าน โดยฝั่ง “ผู้ออก” อาจจะต้องการลองตลาดหรือของใหม่ หลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูง ตราสารหนี้ระยะสั้นก็ถูกลดความนิยมลง และภาวะดอกเบี้ยที่ยังอยู่ระดับต่ำ แถมระดมทุน ICO ก็ไม่มีผลกระทบเรื่องไดลูชั่น (มูลค่าที่ลดลง) ของหุ้น และก่อภาระหนี้สินเพิ่ม แต่ว่าผู้ออกก็ต้อง “ระวัง” และต้องรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้นมาในระยะยาวด้วย ส่วนฝั่ง “ผู้ลงทุน” ถ้าอยากทดลองลงทุนก็ทำได้ แต่ควรจะลองในจำนวนเงินที่ตัวเองพอรับได้ เพราะอะไรที่ทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะสั้น เชื่อว่าคงอยู่ไม่นาน ซึ่งเหมือนก่อนเกิดปัญหาวิกฤตธุรกิจดอตคอมที่เก็งกำไรกันจนราคาสูงลิ่ว เมื่อทุกอย่างจบ ก็เกิดปัญหาตามมา

เขากล่าวว่า ICO มีโอกาสที่จะเป็นวิกฤตได้ แต่ยังไม่ฟันธงว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยเฉพาะบิตคอยน์ หากพังลงมาก็จะเป็นความเสี่ยงในตลาดหุ้นทั่วโลก

“ส่วนตัวมองว่า คนที่เข้าไปลงทุนก็ต้องระมัดระวัง เพราะปัจจุบันทางการยังไม่มีมาตรการมาควบคุม นักวิเคราะห์ก็ยังวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียได้ยาก ซึ่งเปรียบเสมือนกับการเล่นเก้าอี้ดนตรี ตอนนี้คนอาจยังไม่นั่ง แต่หากเสียงเพลงปิดก็อาจมีปัญหาได้ ซึ่งต้องระวังให้ดี ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนที่สามารถพิมพ์เงินจากอากาศได้ และหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้และจีน ก็เริ่มออกมาตรการมาดูแลแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของบ้านเราก็ควรไปดูตัวอย่างในต่างประเทศบ้าง”

ดร.ก้องเกียรติ ปิดท้ายด้วยเรื่องแผนธุรกิจของบริษัท ว่า ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 19% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,554.67 ล้านบาท โดยมีแรงหนุนสำคัญจาก 4 ธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการบริหารสินทรัพย์ ตั้งเป้ารายได้โต 30% จากปีก่อน 2.ธุรกิจกองทุนรวมโต 30%, 3.บริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศโตมากถึง 50% และการลงทุนโดยรวมของบริษัท ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20-25% จากปีก่อน

ขณะที่ 4 ธุรกิจหลัก คือ นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์), ตราสารหนี้, ตราสารอนุพันธ์ และบริการวาณิชธนกิจ (IB) คาดยังคงโตต่อเนื่องราว 10% โดยมีดีลไอบีในมือ 50 ดีล แบ่งเป็นดีลนำบริษัทใหม่เข้าตลาดหุ้น (IPO) 25 ดีล และอีก 25 ดีล เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน การทำ M&A (ควบรวมกิจการ) ส่วนพอร์ตลงทุนรวม มีวงเงินลงทุนราว 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะกระจายลงทุนทั้งในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ รวมถึงลงทุนตรงในสตาร์ตอัพ 5-6 บริษัท มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

“เรายังเน้นกระจายรายได้และรักษาการเติบโตของรายได้ให้ต่อเนื่อง โดยชูกลยุทธ์สานต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบสนองนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น โดยเน้นการโตในธุรกิจที่มีอัตราเติบโตสูง” ดร.ก้องเกียรติปิดท้าย