กนง.คาดเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย จีนปลด Zero-COVID ตลาดเงินยังเสี่ยง

ธนาคารแห่งประเทศไทย
แฟ้มภาพ

ธปท.รายงานการประชุม กนง. มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน อานิสงส์ภาคการท่องเที่ยว-การบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่อง-เงินเฟ้อกลับเข้ากรอบเป้า ห่วงหนี้ครัวเรือนฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจ 

วันที่ 14 ธันวาคม 2565 ธปท.รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งประกอบด้วยนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ประธาน) นายเมธี สุภาพงษ์ (รองประธาน) นางรุ่ง มัลลิกะมาส นายคณิศ แสงสุพรรณ นายรพี สุจริตกุล นายสมชัย จิตสุชน นายสุภัค ศิวะรักษ์ มีรายละเอียดดังนี้

ภาวะเศรษฐกิจโลก-ภาวะตลาดการเงิน

เศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มขยายตัว 2.9%, 2.5% และ 3.1% ในปี 2565 2566 และ 2567 ตามลำดับ โดยขยายตัวชะลอลงในปี 2566 ตามอุปสงค์โลกที่ถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงและภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้นจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดในหลายประเทศ ประกอบกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด (Zero-COVID)

และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและอุปสงค์ในประเทศจีน รวมทั้งกระทบเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียที่มีความเชื่อมโยงกับจีนสูง สำหรับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะกลับมาขยายตัวได้เพิ่มขึ้น เมื่อแรงกดดันต่อการบริโภคจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงทยอยปรับลดลง และภาวะการเงินตึงตัวน้อยลง

ตลาดการเงินโลกเคลื่อนไหวผันผวนตามทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐเป็นสำคัญ โดยนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะถัดไป หลังอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณชะลอลง ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับสูงขึ้น สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง รวมถึงเริ่มเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้นและอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับนโยบายการเงินของไทย แต่ภาวะการเงินโดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุนของภาคเอกชน สะท้อนจากปริมาณสินเชื่อและการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ที่ยังขยายตัว

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวปรับลดลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน หลังตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

และจีนอาจผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย มองไปข้างหน้า ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อโลก การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก และแนวทางการผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID ของจีน

ภาวะเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัว 3.2%, 3.7% และ 3.9% ในปี 2565 2566 และ 2567 ตามลำดับ จาก

(1) ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่มากขึ้น ข้อจำกัดด้านเที่ยวบินที่เริ่มคลี่คลาย และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ

โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 10.5 และ 22 ล้านคนในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ เพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านคนเทียบประมาณการครั้งก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 31.5 ล้านคนในปี 2567 ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย ขณะที่ประมาณการนักท่องเที่ยวจีนให้ไว้ค่อนข้างต่ำในปี 2566 เนื่องจากนโยบายการเปิดประเทศของจีนความไม่แน่นอนสูง

และ (2) การบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคบริการ และตลาดแรงงานที่ปรับดีขึ้นสะท้อนจากสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานรายใหม่ ที่ปรับลดลงต่ำกว่าระดับก่อนการระบาดแล้ว ส่งผลให้รายได้แรงงานปรับดีขึ้นและกระจายตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกัน แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้า

โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่อ่อนไหวต่อแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า เช่น ยานยนต์ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรม แต่สินค้าบางกลุ่มยังขยายตัวได้ เช่น สินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร ในภาพรวม ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป และช่วยลดทอนผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงยังใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ที่ 6.3%, 3.0% และ 2.1% ในปี 2565 2566 และ 2567 ตามลำดับ โดยผ่านจุดสูงสุดแล้วในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และจะโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายภายในสิ้นปี 2566 อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเทียบประมาณการครั้งก่อน จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าตามต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง

ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยจะทยอยลดลงอยู่ที่ 2.6%, 2.5% และ 2.0% ในปี 2565 2566 และ 2567 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนตุลาคม 2565 เริ่มทรงตัว ราคาสินค้าส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือปรับลดลง ตามการส่งผ่านราคาจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีจาก

(1) ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง และ (2) สถานการณ์ขาดแคลนแรงงานเริ่มคลี่คลาย โดยผู้ที่ไม่ได้ทำงานในช่วงก่อนหน้าและแรงงานต่างด้าวเริ่มทยอยกลับเข้ามาทำงานในพื้นที่เศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานมีสัญญาณชะลอลง ด้านอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยว อยู่ในกรอบเป้าหมาย

ในระยะข้างหน้า ยังต้องติดตามความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ได้แก่ (1) แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงและอาจชะลอตัวมากกว่าคาด (2) ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และ (3) การส่งผ่านต้นทุนของภาคธุรกิจที่อาจเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับราคาพลังงานในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน

ประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการอภิปราย

คณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักมีความเสี่ยงชะลอตัวรุนแรงกว่าคาด จากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงและมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น

จากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังยืดเยื้อ และการดำเนินมาตรการ Zero-COVID ซึ่งกระทบภาคการผลิตและการขนส่งบางส่วน รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในจีน จึงต้องติดตามแนวทางการดำเนินมาตรการ Zero-COVID ของจีนในระยะต่อไป และประสิทธิผลของมาตรการ ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาเพิ่มเติม เพื่อประเมินผลต่อการส่งออกสินค้าและบริการของไทย ในระยะข้างหน้า

คณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามคาด และต้องติดตาม แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ได้แก่

(1) การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยคณะกรรมการเห็นว่านโยบายการเปิดประเทศของจีนที่มีความไม่แน่นอนสูงอาจกระทบประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงปลายปี 2566 และปี 2567

อย่างไรก็ดี กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสกลับมามากและเร็วกว่าคาดได้ จากความต้องการท่องเที่ยวที่สะสมจากช่วงก่อนหน้า (pent-up demand) โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียที่พึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศสูงและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกต่ำ รวมถึงข้อจำกัดด้านเที่ยวบินที่ทยอยคลี่คลายและนโยบาย การเปิดประเทศของจีนที่อาจเร็วกว่าคาด

(2) ความต่อเนื่องของแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชน แม้การบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมาจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามปัจจัยที่มีผลต่อการบริโภคภาคเอกชนของแต่ละกลุ่มผู้มีรายได้ในระยะต่อไป อาทิ พฤติกรรมการบริโภคที่อาจเปลี่ยนแปลงไป แรงส่งจาก pent-up demand ของกลุ่มผู้มีรายได้สูง และรายได้ปานกลาง

รวมถึงการฟื้นตัวของการบริโภคของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ มีภาระหนี้ในระดับที่สูง และอ่อนไหวต่อ ค่าครองชีพมากกว่า

คณะกรรมการประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากการปรับราคาพลังงานในประเทศในระยะต่อไป โดยอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปี 2566 ตามต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่การปรับขึ้นค่าไฟฟ้ายังมีความไม่แน่นอน

และผลต่อเงินเฟ้อจะขึ้นอยู่กับมาตรการภาครัฐในการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าแก่ประชาชนด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการจะติดตามการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างใกล้ชิด

คณะกรรมการแสดงความกังวลต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อาจสร้างความเปราะบางต่อเศรษฐกิจและฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว จึงเห็นว่าควรผลักดันแนวทางการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ฐานะทางการเงินของครัวเรือนบางกลุ่มยังเปราะบางจากผลกระทบของ COVID-19 และรายได้ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อีกทั้งต้องเผชิญกับค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น ส่งผลซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือน

โดยหนี้ครัวเรือนส่วนหนึ่งเป็นสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) และสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร (nonbanks) แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและรอบด้าน เพื่อไม่ให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

การดำเนินนโยบายการเงิน

คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.00% เป็น 1.25% ต่อปี

คณะกรรมการเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนจะยังเป็นแรงส่งสำคัญในระยะต่อไป และช่วยลดทอนผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ด้านอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน (cost-push inflation) ตามที่ประเมินไว้ และมีแนวโน้มลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ด้านระบบการเงินโดยรวมยังมีเสถียรภาพ แต่ยังมีภาคธุรกิจและครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางและอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ และภาระหนี้ที่สูงขึ้น จึงเห็นว่าการทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปที่พร้อมปรับตามแนวโน้ม

และความเสี่ยงเศรษฐกิจที่อาจเปลี่ยนแปลง (gradual and measured policy normalization) ยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม และเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้

คณะกรรมการเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยประเมินว่าระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือนโดยรวมปรับดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

แต่ฐานะการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งจะทำให้อ่อนไหวต่อค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น จึงเห็นควรให้ดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง

คณะกรรมการเห็นว่าภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลาย ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนทยอยปรับสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่โดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุน

โดยปริมาณสินเชื่อและการระดมทุน ในตลาดตราสารหนี้ยังขยายตัว ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวผันผวนสูงจากทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักเป็นสำคัญ ทั้งนี้ คณะกรรมการจะติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ต้องติดตาม


จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการเงินโลกที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ คณะกรรมการพร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อไป