ทิสโก้ฟันธงหุ้นไทยเกาะโหมด “กระทิงไฟ” ลุ้นดัชนีแตะ 1,900 จุด ปลายปี’61

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมองเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ช่วงปลายปีนี้บริเวณระดับ 1,900 จุด บน P/E 17.2 เท่า และ EPS Growth อยู่ที่ 12% โดยดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีแรกที่เป้าหมายแนวรับ 1,760-1,720 จุด ส่วนปลายปีนี้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นที่ระดับแนวต้าน 1,900-1,950 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก

“โดยในปีนี้ตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน ม.ค.61อยู่ในช่วงขาขึ้นแต่พอมาช่วงเดือน ก.พ.61กลับปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้ เชื่อมั่นว่าจากการเก็บสถิติ 7 ปีย้อนหลังในระดับความแม่นยำ 75% ช่วงเดือน มี.ค.นี้ ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขาขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงก่อนจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,850 จุด เพราะฉะนั้นช่วงนี้ยังมองตลาดปรับตัวอยู่ในช่วงขาขึ้น” นายวิวัฒน์กล่าว

นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นจึงยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เพราะสภาพคล่องในตลาดยังดีและดอกเบี้ยยังต่ำ อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติยังให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยน้อยกว่าตลาด (Under Weight) โดยขายหุ้นไทยสุทธิกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าฟันด์โฟลว์จะเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านการประกาศพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษตะวันออก (พ.ร.บ.EEC) ภายในไตรมาส 1/61 และการประกาศวันเลือกตั้งซึ่งน่าจะเป็นช่วงไตรมาส 4/61

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2561 นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นเพราะตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน หรือเรียกว่าได้อยู่ในช่วง “ภาวะกระทิงไฟ” จึงแนะให้เริ่มทยอยซื้อหุ้นสะสมที่แนวรับ 1,760-1,720 จุด ถือยาวเพื่อรอเป้าหมายปลายปีนี้ที่ 1,900 จุด โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ พลังงานทางเลือก การบริโภคภายในประเทศ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลบวกจากพ.ร.บ.EEC ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ซึ่งหุ้นเด่นในปีนี้แนะนำ GPSC, ROJNA, NYT, COM7

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ส่วนตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่ายังอยู่ในช่วงขาขึ้นจากการติดตามกระแสเงินทั่วโลกพบว่า ช่วงที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น บลจ.ทิสโก้ จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตสูง Valuation อยู่ในระดับที่ลงทุนได้ และคาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้ได้ต่อเนื่อง ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ แนะนำให้เน้นเป็นบางอุตสาหกรรม คือ “กลุ่มการเงิน”

นายสาห์รัช กล่าวว่า โดยตลาดหุ้นจีนมาจากเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนลง อีกทั้งคาดว่าจะมีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าจีนมากขึ้นหลังจากตลาดหุ้นจีนถูกนับอยู่ในดัชนี MSCI ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีปัจจัยบวกจากรัฐบาลและธนาคารกลางญี่ปุ่นที่กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง บริษัทญี่ปุ่นมีผลการดำเนินงานดีอย่างต่อเนื่อง มีระดับอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 9-10% จากในอดีตไม่ถึง 5% อีกทั้ง valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง และระดับดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงห่างไกลจากจุดสูงสุดเดิมมาก

และตลาดหุ้นอินเดียโดดเด่นที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยในปี 2561 คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่ 18% สูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค ขณะที่เศรษฐกิจโตดีโดยคาดว่าในปีนี้จีดีพีจะเติบโตมากถึง 7% และน่าจะเติบโตสูงเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง บลจ.ทิสโก้ เตรียมออกเสนอขายกองทุนใหม่ที่ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียคาดว่าจะเสนอขายได้ในเดือนมี.ค.นี้

ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวเป็นผลดีต่อผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มการเงิน อีกทั้งนโยบายของทรัมป์ในเรื่องการลดภาษีและการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ควบคุมสถาบันการเงินคาดว่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้