หุ้น “ไทย-อาเซียน” เพอร์ฟอร์มตลาดโลก ทรีนีตี้ กาง 3 สถานการณ์ดอกเบี้ยเฟด

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล

“ทรีนีตี้” มองดัชนีหุ้นไทยปีกระต่าย แกว่งอยู่ระหว่าง 300 จุด ชี้ไตรมาสแรกปีนี้ SET Index ให้ผลตอบแทนดีสุด แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร-ค้าปลีก-โรงไฟฟ้า-โทรคมนาคม กาง 3 สถานการณ์ดอกเบี้ยเฟดมีผลต่อตลาดทุน

วันที่ 12 มกราคม 2566 ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2566 ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนได้รับแรงกระแทกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วในปี 2565 โดยขึ้นดอกเบี้ยรวมกว่า 4% เพื่อที่ลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นในระดับ 8-9% ในปี 2565 หรือที่เราเรียกว่า Over-Tightening เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2523 และเฟดต้องลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจ มองว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะแตะระดับ 2% ใน 2 ปีข้างหน้า มองค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะไม่กลับไปแข็งค่าอีกในระยะสั้น

“ผลจากการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง และเร็วจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะติดลบ 0.1% ในไตรมาส 2 ปีนี้ และอาจจะลากยาวถึงติดลบ 2.3% ในไตรมาส 1 ปี 2567 ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนอาจจะติดลบ 0.4% ในไตรมาส 4 ของปี 2565 และติดลบอีก 0.4% ในไตรมาส 1 ของปีนี้ ก่อนที่ฟื้นตัวบวก 0.2% ในไตรมาส 2 ส่วนเศรษฐกิจจีนมองการฟื้นตัวอยู่ที่ระดับ 4-5% และอาจจะฟื้นตัวแตะระดับ 6.8% ในไตรมาส 2 ของปี 2567 จึงมองการ Overweight ตลาดหุ้นจีนยังได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่ซ่อนอยู่ (Pent-up Demand) และเงินออมที่เก็บไว้ในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 ตลอดจนการที่กองทุนระดับโลกยังคง underweight หุ้นจีน 3–5%”

ดร.วิศิษฐ์กล่าวว่า การตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของเฟดในช่วงกลางปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และจะมีผลต่อทิศทางตลาดทุนทั่วโลก โดยคาดการณ์ไว้ 3 กรณี ได้แก่

กรณีที่ 1: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วหยุดทั้งปี มองมีโอกาสเกิดขึ้น 35-40% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะ Sideway up แต่ฟันด์โฟล์วจะเคลื่อนย้ายมาสู่เอเชียเหนือมากขึ้น (กรณีฐาน)

กรณีที่ 2: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วปรับลดลงกว่า 1-1.5% ในไตรมาส 4 มองมีโอกาสเกิดขึ้น 30-35% ผลคือตลาดหุ้นใน Emerging Market จะ outperform

กรณีที่ 3: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% ในไตรมาส 1 และหยุด และปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในช่วงปลายปีสู่ระดับ 6.5% มองมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ 20% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับฐาน (สถานการณ์ที่เลวร้ายสุด)

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ขณะที่จีนได้ประกาศเปิดประเทศ จะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ไหลออกจากสหรัฐ และเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2565 เห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นในอาเซียน 6 ประเทศ กว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นฟันด์โฟลว์ที่สูงสุดในประวัติศาสตร์

ขณะที่ประเทศไทยพบว่ามีฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ากว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้ MSCI ของ ASEAN ถูก overweight สูงกว่า Benchmark กว่า 1.6% และเงินยังไหลเข้าต่อเนื่อง ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2566 ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิกว่า 7.8 พันล้านบาทในตลาดหุ้นไทย และ 4.2 หมื่นล้านบาท ในตลาดพันธบัตรระยะสั้นไทย

และยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นเงินไหลไปลงทุนประเทศในเอเชียเหนือ เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน มากขึ้น และจะทำให้กลุ่ม Tech ในจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ outperform ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดหุ้น ASEAN รวมถึงหุ้นไทย

ดร.วิศิษฐ์กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีทั้งปัจจัยบวก และลบที่มีผลต่อการลงทุน และมองว่าดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งอยู่ระหว่าง 300 จุด (13 เท่าของกำไรต่อหุ้น 117 บาท และ 15 เท่า ของกำไรต่อหุ้น 117 บาท ในปี 2567 ตามลำดับ)

โดยช่วงไตรมาส 1 จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด แนะนำการลงทุนเป็น Sector Rotation โดยให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) ไปยังกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม Infrastructure Fund กลุ่ม Industrial Estate และกลุ่มโทรคมนาคม แต่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) กลุ่มพลังงาน

“ช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ตลาดหุ้น ASEAN และ SET Index จะ Outperform ตลาดหุ้นโลก เพราะตลาดหุ้น ASEAN ได้ผลประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลงเงินเฟ้อที่ลดลง แต่คาดว่านับตั้งแต่ไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในไตรมาส 4 นักลงทุนต่างประเทศเริ่มหาจังหวะที่จะลดการลงทุนหุ้น ใน ASEAN อาจขายหุ้นประมาณหนึ่งส่วนสามของ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐที่ซื้อมาปี 2565 หรือ 4 พันล้านเหรียญ เพื่อคงน้ำหนักลงทุนให้เท่า Benchmark MSCI Emerging Market“

การจัด Asset Allocation ปี 2566 ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Global Fixed Income 25-30% หุ้นในEmerging Market 20-25% โดยเน้นน้ำหนักหุ้นจีน และเวียดนาม หุ้นไทย 10-15% ทองคำ 5-10% หุ้นยุโรปและหุ้นญี่ปุ่น 5% และเงินสด 25-30%

“ปี 2566 เป็นปีที่มีความผันผวนอย่างมาก มีทั้งปัจจัยที่เป็นบวก และลบผสมกันอย่างมาก เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็วขึ้น Fed มีโอกาสกลับทิศจากการขึ้นดอกเบี้ยต้นปี ไปเป็นลดดอกเบี้ยแทน และอาจจะลดกว่า 1.75% ในปลายปี 2566 หรือการลดดอกเบี้ยของ Fed จะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดในไตรมาส 1 ปี 2567 หรือเรียกว่า Fed Pivot ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วช่วงที่ Fed หยุดการขึ้นดอกเบี้ย กลยุทธ์ลงทุน แนะนำให้ Overweight ในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ มองค่าเงิน Yen แข็งค่าขึ้นขณะที่ราคาทองคำในรูปเงินดอลลาร์มีโอกาสขยับค่าขึ้น”

ดร.วิศิษฐ์กล่าวทิ้งท้าย ในส่วน กนง.ของไทย อาจจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% อีก 2 ครั้ง ในวันที่ 25 มกราคม และ 29 มีนาคม แล้วจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

ปัจจัยบวกและปัจจัยเฝ้าระวังที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย

ปัจจัยบวก ปัจจัยเฝ้าระวัง

1.การเลือกตั้ง สถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2531 มีการเลือกตั้ง 12 ครั้ง พบว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 5.2% (Medium) ช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งด้วยความน่าจะเป็น 73% จากการจับจ่ายใช้สอยที่มีเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้ง 1.จีนเปิดประเทศอาจนำไปสู่การระบาดรอบใหม่ของ COVID เนื่องจากการเปิดเมืองของจีนเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของ COVID ในจีนสูงถึง 40,000 คนต่อวัน

2.จีนเปิดประเทศหนุนการท่องเที่ยวขยับขึ้นมาอยู่ที่ 24-25 ล้านคนในปีนี้ จากปีก่อนที่ 11 ล้านคน หนุน GDP เพิ่มขึ้น 3.4-4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 5% ของ GDP คาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดถึงระดับ 0.5% ของ GDP ในปี 2566 GDP ไทยถูกปรับขึ้นสูงถึง 3.5-3.8% ในปี 2566

2.เศรษฐกิจโลกในปี 2566 เติบโต 2.2% เป็นการเติบโตน้อยสุดในรอบกว่า 20 ปี (ยกเว้นปี 2551 และ 2563) ส่งผลกระทบถึงการส่งออก และเศรษฐกิจที่ถดถอยลง และทำให้เกิด Derating ของตลาดหุ้น และมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่สะท้อนถึงการถดถอยของภาคการผลิต และเสี่ยงที่จะมีการ down grade ของกำไรต่อหุ้น Recession ในสหรัฐ ส่วนหุ้นไทยคาดการณ์กำไรต่อหุ้น ที่ 117 บาทต่อหุ้น ในปี 2567

3.เงินลงทุนตรง (FDI) ไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่องโดยเฉพาะ sector ยานยนต์ไฟฟ้า ที่ในปี 2565 FDI เข้าไทย 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ถือเป็น FDI ที่เข้าไทยสูงเป็นอันดับ 2 ในรอบ 10 ปี 3.การถดถอยของเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐ จะส่งผลกระทบเชิงลบในการเติบโตต่อเศรษฐกิจไทย การส่งออก และการบริโภคในในปี 2566 เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นจากการส่งออก (Gross Export) ซึ่งการส่งออกมี สัดส่วนมากกว่า 60% ของ GDP

4.สินค้าโภคภัณฑ์ และเงินเฟ้อจะเป็นขาลง และได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว 4.Fed อาจเปลี่ยนมุมมองในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปี และในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด ปรับมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยใหม่มาสู่ระดับ 6.5% (ความน่าจะเป็น 20-25%)

5.สภาพคล่องเริ่มดีขึ้น Credit Spread ที่อ่อนค่าลง บ่งชี้ถึงยังไม่เกิดความเสี่ยงจาก Credit Default