จับเทรนด์หุ้นอาเซียน “อินโดฯ-เวียดนาม” เด่น

เจฟ สุธีโสภณ-เมธา พีรวุฒิ

ปี 2565 ที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ติดลบราว 20-30% แต่ตลาดหุ้นอาเซียนยังทำผลงานได้ดีกว่า โดยติดลบเพียง 1-2% และเป็นตลาดที่มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่อง กลายเป็นที่จับตามองของนักลงทุน ขณะที่
ในปี 2566 นี้ หลายประเทศเริ่มฟื้นตัว

ส่วนตลาดหุ้นอาเซียนจะยังเป็นตลาดที่นักลงทุนสนใจและน่าลงทุนอยู่หรือไม่มีมุมมองที่น่าสนใจจากงานสัมมนา “BBLAM Investment Forum” ที่จัดโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง เมื่อเร็ว ๆ นี้

เริ่มจาก “เจฟ สุธีโสภณ” ผู้อำนวยการ Fund Management Group กองทุนบัวหลวง กล่าวว่า การที่กลุ่มอาเซียนทำผลงานได้ดีในปีที่ผ่านมา เนื่องจากโดยรวมเพิ่งเริ่มเปิดประเทศและเศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้น ขณะที่ภูมิภาคอื่น ๆ ฟื้นตัวไปก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี 2564

ส่วนปีนี้หลายคนถามว่า ตลาดหุ้นอาเซียนจะไปต่อได้ไหม ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างที่จะมั่นใจ ว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีสำหรับตลาดหุ้นอาเซียน

เนื่องจากยังมีปัจจัยสนับสนุน 5 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่

1.เศรษฐกิจ (GDP) ของอาเซียนน่าจะโตได้ 5% ไม่เฉพาะปีนี้ แต่น่าจะเติบโตได้ดีในระยะกลาง นำโดยเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

2.การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังเข้ามาในตลาดอาเซียนอย่างต่อเนื่อง จากการที่มีความพร้อมและมีประชากรวัยทำงานค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทต่าง ๆ ยังให้ความสนใจและเลือกอาเซียนเป็นฐานการผลิต

3.การเปิดประเทศ ซึ่งในปีที่แล้วก็จะเริ่มเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวโซนอาเซียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาปีนี้พอจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่ตลาดคาด ก็ส่งผลบวกต่อภาคการท่องเที่ยวในอาเซียนอย่างมาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มใหญ่ที่เข้ามา

4.ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะใกล้จบรอบของการขึ้นดอกเบี้ย โดยน่าจะขึ้นอีกแค่ 1-2 ครั้งในปีนี้

และ 5.ย้อนดูในอดีตในช่วงที่ราคาน้ำมันแพง เงินดอลลาร์แข็งค่า ตลาดหุ้นอาเซียนมักจะทำผลงานได้ไม่ดีนัก ขณะที่เมื่อราคาน้ำมันลงและดอลลาร์อ่อนค่า ตลาดหุ้นอาเซียนมักจะทำผลงานได้ดี (outperform)

“หากเฟดจบรอบการขึ้นดอกเบี้ย จะลดความกดดันต่อตลาดหุ้นอาเซียนได้ เพราะธนาคารกลางในอาเซียนก็น่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยตามเช่นกัน และปีนี้มองว่าราคาน้ำมันน่าจะเริ่มปรับตัวลง หลังจากปีนี้แล้วพุ่งขึ้นไปมาก รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ก็น่าจะมีแนวโน้มที่อ่อนค่าลง ทำให้ตลาดหุ้นอาเซียนก็น่าจะยังคงทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง”

สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจที่สุดในอาเซียน คือตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่เป็น Best Performance Market ในตลาดหุ้นเอเชียบวกไป 4% ในปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงที่ผ่านมา เวลาตลาดหุ้นจีนมีปัญหานักลงทุนมักจะหนีเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอินโดนีเซียกันค่อนข้างมาก ทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามามาก ตลาดหุ้นอินโดนีเซียจึงมีผลงานที่ค่อนข้างดี

อย่างไรก็ดี มาปีนี้จีนกลับมาเปิดประเทศ ก็เริ่มเห็นฟันด์โฟลว์ทยอยไหลกลับเข้าไปในตลาดหุ้นจีน ก็มีคำถามมาว่า 
แล้วปีนี้อินโดนีเซียจะยังน่าลงทุนอยู่ไหม ก็ต้องบอกว่ายังน่าลงทุนอยู่ และเป็นโอกาสที่ดีมากในการเข้าไปสะสมหุ้น

“ระยะยาวอินโดนีเซียดูดีมาก เนื่องจากมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดี และมีการแก้กฎหมายแรงงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อดึงดูดให้ FDI เข้ามาลงทุนมากขึ้น รวมถึงมีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมปลายน้ำ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการทำงานให้ประชากรอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น”

ขณะที่ “เมธา พีรวุฒิ” ผู้อำนวยการ Fund Management Group กองทุนบัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นเวียดนามก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ เพราะตั้งแต่ปี 2563-2564 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกค่อนข้างแย่ แต่เวียดนามมีภาพที่
ตรงกันข้ามและเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่ง

โดยตลาดหุ้นก็ทำผลงานได้ดี บวกขึ้นมากว่า 50% ขณะที่ในปี 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามติดลบรุนแรงและน่าผิดหวัง ราว ๆ 30% ซึ่งปัจจัยลบหลัก ๆ มาจากปัจจัยภายในประเทศ และการที่ธนาคารกลางเวียดนามมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรง เนื่องจากค่าเงินด่องไร้เสถียรภาพ จากการที่หลายประเทศทั่วโลกปรับขึ้นดอกเบี้ย

“แน่นอนว่าการที่เวียดนามขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และราคาหุ้นก็ถูกปรับลดลงมา แต่ตอนนี้เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับมาจากที่ค่าเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาอ่อนค่า และทำให้เงินด่องมีเสถียรภาพมากขึ้น และปัญหาการขาดสภาพคล่องของอสังหาริมทรัพย์คลี่คลายลง ทำให้เห็นนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอีกครั้ง”

โดยแนวโน้มปี 2566 นี้ ตลาดหุ้นเวียดนามน่าจะกลับมาสดใส แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีอุปสรรคพอสมควร และโดยรวมลักษณะของเศรษฐกิจเวียดนามที่มีการฟื้นตัว

ซึ่งปัจจัยบวกสำหรับปีนี้หลัก ๆ คือการที่จีนเปิดประเทศ และเริ่มเห็นการจองเที่ยวบินไปเวียดนามเพิ่มสูงขึ้น และปีนี้เวียดนามมีแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานราว ๆ 7% ของ GDP ทั้งนี้ เวียดนาม
มีประชากรที่มีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างมาก โดยประชากรเวียดนามมีรายได้ต่อหัวต่อ GDP เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี

“เวียดนามเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีประชากรเยอะ และมีคุณภาพ เชื่อว่าผลกระทบต่าง ๆ น่าจะเริ่มคลี่คลาย และจากการที่บริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ดีราว 7-10% ต่อปี ระยะยาวการลงทุนในเวียดนามยังน่าสนใจ”

นักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากหุ้นต่างประเทศ ก็ลองศึกษาข้อมูลกันดู