ปีนี้ทางสมาคมประกันชีวิตไทย ได้ตั้งเป้าหมายกรเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตไว้ที่ระดับ 4-6% หรือคิดเป็นเบี้ยรับรวม 6.4 แสนล้านบาท หลังจากสิ้นปีที่แล้ว ปิดผลงานเบี้ยได้ 6.01แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.89% ซึ่งปีที่แล้วโตต่ำกว่า 6% ทั้ง ๆ ที่ 3 ไตรมาสแรกปีก่อนโตเกิน 6% แต่พอไตรมาส 4/60 เกิดหดตัวลงจากปกติเป็นช่วง “ไฮซีซัน” ของธุรกิจประกัน
โดยนายกสมาคมฯ “นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์” ฉายภาพรวมว่า ปีนี้จะมีความท้าทายกว่าปีก่อน ๆ เนื่องจากธุรกิจประกันไม่ได้เพียงแค่เผชิญกับ “ภาวะดอกเบี้ยต่ำ” เท่านั้น หลังจากปีที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่เฉลี่ย 2.3-2.6% ดังนั้น ค่ายประกันก็ยังไม่กล้าเสนอสินค้าที่ให้ผลตอบแทนสูงได้ ถึงแม้ว่ามีการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะโตดีกว่าปีก่อนก็ตาม แต่ก็ยังมีสารพัดปัจจัยลบที่มีผลต่อการเติบโตของยอดขาย โดยเฉพาะเรื่องการปรับตารางอัตรามรณะใหม่ ซึ่งจะทำให้เบี้ยประกันชีวิตลดลงกว่าเดิม 5-30%
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
“แบบประกันบางประเภทจะสิ้นสุดการใช้เบี้ยตามตารางมรณะเดิมในช่วงวันที่ 1 ก.ค. 61 นี้ หลังจากแบบประกันใหม่มีผลบังคับใช้ไปตั้งแต่ ก.ย. 60 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จะเป็นกรมธรรม์คุ้มครองตลอดชีพ กรมธรรม์คุ้มครองชั่วระยะเวลา และประกันคุ้มครองสินเชื่อ” นางนุสรากล่าว
นอกจากนี้ ยังเห็นบริษัทประกันปรับลดต้นทุนด้านต่าง ๆ เช่น ค่าคอมมิสชั่น ขณะที่ปีนี้ยังต้องเห็นการลงทุนเพิ่มในระบบเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาธุรกิจไปสู่สังคมดิจิทัลโดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางขายผ่านออนไลน์ การชำระเงินจนถึงกรมธรรม์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Policy) การเตรียมรับมือเรื่องมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ “IFRS9&IFRS17” ที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 ซึ่งทำให้ต้องระมัดระวังในการออกสินค้าใหม่มากขึ้น เพราะต้องบันทึกกำไรขาดทุนตั้งแต่วันแรกเพื่อให้ขายแล้วพอมีกำไรอยู่บ้าง
“แม้ว่าจะมีสารพัดปัจจัยลบ แต่ก็พอมีแรงขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตได้จากภาครัฐที่กระตุ้นทางภาษี และเฮลท์เทรนด์ (สุขภาพ) ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งปีที่ผ่านมามีเบี้ยประกันสุขภาพราว 6-7 หมื่นล้านบาท โต 7.42% คาดว่าในปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10%” นางนุสรากล่าว
เทรนด์สุขภาพ จึงเป็นตลาดใหญ่ที่ปีนี้ บริษัทประกันชีวิตต่างลั่นกลองรบอีกครั้ง โดยค่ายเมืองไทยประกันชีวิต “สาระ ล่ำซำ” กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ได้นำทีมผู้บริหาร เปิดตัวอย่างอลังการเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยปลุกพลังสังคมแห่งการดูแลชีวิตและสุขภาพ ด้วยโปรแกรม “Healthy is a Trend” ที่จะมีครบเรื่องชีวิตและสุขภาพ ฟิตเฟิร์ม+คุ้มครอง+ดูแลที่สามารถตอบโจทย์ทั้ง 3 มิติแก่ผู้รักสุขภาพ ซึ่งโปรแกรมนี้เปิดกว้างให้ลูกค้าและไม่ใช่ลูกค้าในยุคดิจิทัล สามารถเข้ามาใช้ได้หมด ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.healthyisatrend.com และเฟซบุ๊กแฟนเพจ:Healthy is a Trend ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ใหม่ในการยกระดับดูแลสุขภาพที่สัมผัสได้จริง พร้อมกันนี้ ในงานนี้ได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ “เป๊ก -ผลิตโชค” นักร้องดัง จะเข้ามาร่วมสร้างประสบการณ์ Healthy is a Trend ท่ามกลางแฟนคลับมากมาย
นอกจากนี้ ยังได้ส่ง “เมืองไทย Smile Club” เข้ามาเติมเต็มบริการที่เป็นแหล่งรวมข้อมูลที่น่าเชื่อถือ กิจกรรมและสิทธิพิเศษแก่ลูกค้าทุกคน ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวบริการใหม่ “Best Doctors” ที่บริการความคิดเห็นที่ 2 ทางการแพทย์จากแพทย์เฉพาะทางในต่างประเทศด้วย
“เราสร้างอีโคซิมเท็มที่ครบวงจรทั้งเรื่องคลีนฟู้ด ท่องเที่ยว แฟชั่น ความรู้ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมเข้าไว้ด้วยกัน เพราะเราต้องการเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของคน ปัจจุบันบริษัทประกันต้องมองลูกค้าแบบ outside in เพื่อพัฒนากรมธรรม์(โปรดักต์) มาตอบโจทย์ลูกค้ารายบุคคลมากขึ้น (segment of one)” นายสาระกล่าว
นางสาวสุดสวาท เพ็ชรสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า “Healthy is a Trend” จะให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเรา ซึ่งจะทำให้เห็นว่าเขามีไลฟ์สไตล์แบบไหน บริษัทก็จะสามารถเสนอโปรดักต์ให้เขาเลือกแบบที่เรียกว่า segment of one ให้เขา เพราะบนโลกดิจิทัลบิ๊กดาต้าเหมือนจะตามดิจิทัล ฟรุ้ตพริ้น ซึ่งไม่ใช่สะกดรอยเขา แต่ว่าต้องการจะทราบว่าเขามีการดำเนินชีวิตแบบไหน ไลฟ์สไตล์ยังไง ผลิตภัณฑ์ไหนเหมาะสมกับเขา
ในส่วนของโปรดักต์ประกันใหม่ที่เปิดตัว ก็ยัง “ฉีกกรอบ” ประกันเดิม ๆ ด้วยการเลิกจำกัดเพดานต่าง ๆ เช่น ค่ารักษา ค่าห้อง เป็นต้น ได้แก่ “เมืองไทย สบายใจ เกินคุ้ม” ซึ่งให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย และหากเจ็บป่วยในต่างประเทศก็สามารถใช้บริการ MTL Global Connect โดยไม่ต้องควักตังค์สำรองจ่ายเอง และ “สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ แบบอีลิท เฮลท์” เหมาะกับผู้ต้องการความคุ้มครองแบบเหนือระดับความคุ้มที่สูงขึ้นไปอีก ซึ่งจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า wealth โดยมีทุนประกันให้เลือก 4 แผนตั้งแต่ทุนประกัน 20 – 100 ล้านบาท ครอบคลุม 4 ตลาดทั้งประเทศไทย เอเชีย (ยกเว้นอเมริกา) และทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งจะออกขายในเดือน มี.ค.นี้
“ปราโมทย์ ศักดิ์กำจร” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสของบริษัทกล่าวว่า ปัจจุบันฐานลูกค้า (wealth) กลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง แต่เบี้ยยังไม่มากอยู่ที่ 5% ของพอร์ตลูกค้าสุขภาพทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 3 แสนคน แต่คาดว่าปีนี้เบี้ยจากลูกค้ากลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นราว 30-40% และทำให้พอร์ตเบี้ยสุขภาพทั้งบริษัทเติบโต 20-30% ยืนเหนือเป้าของตลาดที่วางไว้ได้
“ปัจจุบันเรามีพอร์ตสุขภาพอยู่ top five ของวงการประกันชีวิต แต่ในอนาคตเราก็อยากเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ เพราะฉะนั้นจะเห็นการนำนวัตกรรมมาพัฒนาโปรดักต์สุขภาพ ซึ่งอาจจะเห็นการรับประกันโรคที่ไม่รับประกันหรือคนที่ป่วยเป็นโรคบางอย่างได้” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสบริษัทกล่าว
ขณะที่ บมจ.อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต โดย “ไบรอัน สมิธ” กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทกล่าวว่า ในปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนโปรดักต์ที่เน้นความคุ้มครองไว้ที่ระดับ 45% เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่อันดับ 5 ของธุรกิจซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกโปรดักต์สุขภาพตัวใหม่เจาะลูกค้าแต่ละเซ็กเมนต์ โดยรอการอนุมัติจาก คปภ. ในขณะเดียวกันยังได้เตรียมส่งบริการเสริมดูแลสุขภาพรอบด้านอย่างพยาบาลดูแลยามพักฟื้นที่บ้าน และการขอความคิดเห็นที่ 2 จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับพอร์ตเบี้ยประกันสุขภาพของบริษัท (ม.ค.-ก.ย. 60) อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท เติบโต 10.9% คาดว่าจะขับเคลื่อนทำให้เบี้ยรับรวมแตะระดับ 34,000 ล้านบาท เป็นเบี้ยปีแรก 6,500 ล้านบาท มาจากทุกช่องทางการขาย ซึ่งเชื่อว่าจะเติบโตได้เร็วและมากกว่าตลาดแน่นอน
ตลาดประกันสุขภาพ จะเป็นอีกปีที่จะเห็นค่ายประกันต่าง ๆ จะออกมาขับเคี่ยวกันบนสมรภูมินี้