TCJ โชว์รุกงานใหม่เร่งรับโปรเจ็กต์รัฐปั๊มรายได้โต 10%

หัวเรือใหญ่ “ทีซีเจ” ตั้งเป้ารายได้ปี’61 โตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี’60 ที่ทำได้ 1,475 ล้านบาท หลังตุนงานในมือรอรับรู้รายได้เกือบ 600 ล้านบาท พร้อมปรับแผนรุกหลายธุรกิจใหม่หวังกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เผยปีนี้ปักหมุดรับงานรัฐเพิ่ม หนุนสัดส่วนรับงานรัฐแตะ 70%

นายทรงวุฒิ ไกรภัสสร์พงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ที.ซี.เจ เอเซีย (TCJ) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2560 ที่ทำได้ 1,475 ล้านบาท เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยรับรู้งานในมือ (backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้เกินครึ่งของมูลค่างานในมือ และคาดว่ารายได้จากการขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะและการขายเครื่องจักรมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น รวมถึงงานโครงการก่อสร้างภาครัฐที่จะเห็นการลงทุนมากขึ้นในปีนี้

ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจอื่นเพื่อให้มีฐานรายได้หลากหลายขึ้น อาทิ การจำหน่ายท่อเหล็กไร้สนิมที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมด้านอาหารและยา รวมไปถึงงานผู้รับเหมาประเภทขึ้นงานก่อสร้างคอนโดมิเนียม และงานตกแต่งรถไฟฟ้าสีต่าง ๆ จากปัจจุบัน บริษัทมีรายได้หลักมาจากธุรกิจให้เช่าเครื่องจักรกลเพื่อใช้ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถยกและรถเครน เป็นต้น

“การมีธุรกิจที่หลากหลาย ทำให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะเปลี่ยนไป โดยรายได้ที่มาจากให้เช่าเครื่องจักรกล รถเครนจะมีสัดส่วน 30%, การจำหน่ายท่อเหล็กในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร 30% และที่เหลือเป็นงานตกแต่งรถไฟฟ้า เป็นต้น” นายทรงวุฒิกล่าว

โดยทิศทางการรับงานใหม่ ๆ ในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเข้าไปรับงานโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนการรับงานภาครัฐจะเพิ่มขึ้นเป็น 65-70% ของรายได้ หากเทียบกับปี 2560 ที่ส่วนใหญ่มาจากการรับงานของภาคเอกชนถึง 55% เนื่องจากปีที่แล้วงานภาครัฐมีค่อนข้างน้อย จึงทำให้บริษัทหันไปรับงานที่เป็นของภาคเอกชนมากขึ้น แต่ปีนี้เชื่อว่าการรับงานส่วนใหญ่จะมาจากการเข้าประมูลโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐมีแผนเปิดประมูลโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ กว่า 1 แสนล้านบาท ดังนั้นบริษัทก็น่าจะได้รับอานิสงส์จากการเข้าไปรับงานภาครัฐ เช่น การให้เช่ารถยก หรือเครื่องจักรกล เป็นต้น

“ปีนี้ด้านรายได้จะดีขึ้นอีก 10% จากปี 2560 เพราะงานภาครัฐเรามีมากขึ้น ซึ่งต่างจาก 1-2 ปีก่อนหน้านี้ ที่งานภาครัฐหดตัวต่ำกว่า 50% และงานเอกชนขึ้นมา 55% แต่ปีนี้ งานภาครัฐจะเข้ามามีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 65% และอาจรับได้ถึง 70% ด้วยซ้ำ ซึ่งก็จะมาจากงานโครงการรับเหมาต่าง ๆ ของภาครัฐที่จะเปิดประมูลในปีนี้ ทั้งที่เกี่ยวกับ EEC และงานตกแต่งรถไฟฟ้าเพิ่มเติม ที่คาดว่าจะเข้ามาได้ในปีนี้” นายทรงวุฒิกล่าว

ทั้งนี้ บริษัท (รวมบริษัทลูก) ได้รายงานผลประกอบการปี 2560 ว่า มีรายได้รวม 1,475.29 ล้านบาท เติบโต 18.5% จากปี 2559 ทำได้ 1,245.38 ล้านบาท และพลิกเป็นกำไรสุทธิ 32.89 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่มีผลขาดทุน 2.20 ล้านบาท