หุ้นดี PE 50 เท่า

คอลัมน์ จัตุรัสนักลงทุน

โดย คนขายของ

การวิเคราะห์หุ้นเพื่อการลงทุนมักมีการแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ หนึ่ง เชิงคุณภาพ ซึ่งมักพิจารณาว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่ มีกลยุทธ์เหนือคู่แข่งไหม ผู้บริหารเก่งกาจเพียงใด และสอง เชิงปริมาณ ซึ่งมักใช้อัตราส่วนทางการเงินในการเปรียบเทียบ เช่น ราคาหุ้นต่อกำไร อัตราผลตอบแทนเงินปันผล หรือความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ผลจะเป็นอย่างไร หากนักลงทุนเข้าไปซื้อหุ้น ซึ่งหากวิเคราะห์เชิงคุณภาพแล้วพบว่า “ยอดเยี่ยม” แต่หากวิเคราะห์ในเชิงปริมาณจะพบว่า ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่ากับเงินลงทุน ?

เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจึงเลือกหุ้นจากรายชื่อ 2018 Most Admired Companies ซึ่งจัดทำโดยนิตยสาร Fortune ซึ่งบริษัทชั้นนำเหล่านี้ถูกเลือกโดยผู้บริหารระดับสูง, กรรมการบริษัท และนักวิเคราะห์ จำนวนกว่า 3,900 คน ว่าเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการชั้นเลิศ เป็นที่ยกย่องของคนในวงการ เพื่อเป็นการเลือกเฟ้นว่า บริษัทเหล่านี้ คือ บริษัทที่มี “คุณภาพ” ชั้นยอด

โดยจากทั้งหมด 50 บริษัท ผมเลือกมา 15 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่คนไทยคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์และบริการเป็นอย่างดี ได้แก่ 1) American Express 2) P&G 3) Apple 4) Starbucks 5) Disney 6) FedEx 7) Nike 8) Coke 9) Johnson & Johnson 10) McDonalds 11) 3M 12) Marriott 13) Boeing 14) GE และ 15) ExxonMobil

ขั้นต่อมา ผมเลือกบริษัทระดับ PE ที่ 50 เท่า ซึ่งเป็นระดับซึ่งสูงกว่าค่า PE เฉลี่ยของหุ้นในดัชนี S&P500 ในช่วง 118 ปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า เพื่อแสดงว่าเป็นระดับที่หุ้นนั้น ๆ มีมูลค่าที่ดูเหมือนว่าไม่คุ้มกับการลงทุน หลังจากนี้ ผมย้อนกลับไปดูข้อมูลราคาหุ้นย้อนหลัง 20 ปี นับตั้งแต่ปี 1998 เพื่อจะดูว่า หากนักลงทุนซื้อหุ้นใน 15 ตัวนี้ที่ราคาซึ่งมี PE มากกว่า 50 เท่า ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใน 20 ปีนี้ แล้วถือมาจนถึงปัจจุบันจะเป็นอย่างไร ?

ผลปรากฏว่าจากหุ้น super stocks 15 ตัวที่เลือกมา มีอยู่ 6 ตัวซึ่ง PE ไม่เคยไปแตะระดับ 50 เท่าเลย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และหุ้น 9 ตัวที่เคยขึ้นไปสัมผัสระดับความแพงสุดขีด คือ 1) Apple 2) Starbucks 3) Disney 4) FedEx 5) Nike 6) Coke 7) Marriott 8) Boeing และ 9) GE แล้วถ้าตัดสินใจซื้อหุ้นเหล่านี้ ณ จุดที่ PE มากกว่า 50 เท่า ผลในวันนี้จะเป็นอย่างไร ? พบว่ามีหุ้นแปดจากเก้าตัวที่ได้กำไร และช่วงกำไรก็มีตั้งแต่ 45% จนถึงมากกว่า 200 เท่า ส่วนหุ้นหนึ่งตัวที่ขาดทุนนั้นติดลบไปราว 75%

เราได้ข้อคิดอะไรจากการศึกษาเรื่องนี้บ้าง ? หนึ่ง การซื้อหุ้น PE สูง ซึ่งดูเหมือนมีความเสี่ยง แต่ก็ไม่ใช่การลงทุนที่เลวร้ายในทุกกรณีไป การละเลยหุ้นบ้างตัวเพราะปัจจัยเรื่องของ PE เพียงอย่างเดียว อาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสกำไรก้อนโตได้ ถ้าหากนักลงทุนสนใจลงรายละเอียดเพิ่มอีกสักหน่อย ขุดค้นไปเพื่อดูว่าที่ PE หุ้นตัวนั้นขึ้นไปสูงเพราะอะไร เราอาจพบว่าที่ PE สูงนั้นเพราะมีเหตุการณ์ผิดปกติ ทำให้ตลาดตื่นตกใจขายหุ้นออกมา แท้จริงแล้วช่วงนั้นอาจจะเป็นนาทีทองของการลงทุนก็ได้

อย่างกรณีของ Boeing ซึ่งหลังเกิดเหตุก่อการร้ายเครื่องบินชนตึก World Trade Center ในปี 2001 ทำให้อุตสาหกรรมการบินอยู่ในขาลง กำไรของบริษัทลดลงอย่างน่าใจหายถึง 75% ในปี 2002 ทำให้ในบางช่วงของปี หุ้นของบริษัทซื้อขายกันที่ PE สูงเกิน 100 เท่า แต่ถ้านักลงทุนตัดสินใจซื้อหุ้นในวันนั้น แล้วทนถือมาจนวันนี้จะได้กำไรถึง 10 เท่า ไม่รวมเงินปันผล

สอง หุ้นดีไม่จำเป็นต้องมี PE สูงก็ได้จากหุ้นที่เลือกมา 15 ตัว มีถึง 6 ตัว ซึ่ง PE ไม่เคยอยู่ในระดับสูงเลย ซื้อขายแบบช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อย่างหุ้นของบริษัท 3M ซึ่งตลอด 20 ปี ซื้อขายกันอยู่ในช่วง PE ระดับ 10-36 เท่า ซึ่งกำไรของบริษัทก็ค่อย ๆ เติบโตไปเรื่อยอย่างแข็งแกร่ง จากเพียง 1.17 พันล้านเหรียญ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มาเป็น 4.85 พันล้านเหรียญ ในปี 2017 ซึ่งราคาหุ้นก็ตอบสนองไปในทิศทางเดียวกัน

สาม กิจการที่เราศึกษาในบทความนี้ เป็นกิจการที่แข็งแกร่งระดับโลก ซึ่งมีเครือข่ายในหลายประเทศ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และทีมงานผู้บริหารที่สุดยอด ในช่วงที่บริษัทมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เปิดตลาดใหม่ หรือมีกลยุทธ์การลดต้นทุนใหม่ อาจจะทำให้ตลาดชื่นชอบใจ ปรับราคาให้ไปซื้อขายกันที่ PE สูงได้ แต่สำหรับบางกิจการในไทย ซึ่งถ้าวิเคราะห์กันด้านคุณภาพของกิจการก็เห็นว่าไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก มาร์จิ้นก็โดนทั้งคู่ค้าและลูกค้ากดดันตลอด ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ก็ไม่มีออกสู่ตลาด แต่ราคากลับยืนอยู่ในระดับที่สูงมาก ถ้าเราพบเจอหุ้นเหล่านี้ก็น่าจะมองข้ามไปหากิจการอื่น ๆ ซึ่งน่าจะเสี่ยงน้อยกว่า แต่มีคุณภาพสูงกว่า น่าจะดีกว่า


ในบทความหน้า เราจะมาต่อกันในหัวข้อที่ว่า หากเราตั้งธง PE ไว้ในใจว่า หุ้นที่เราลงทุนจะต้องมี PE ไม่เกิน 10-12 เท่า เกินกว่านั้นจะไม่ซื้อ ถ้าคิดอย่างนี้ เราจะมีโอกาสได้ซื้อ super stocks 15 ตัวด้านบนนี้หรือไม่ ? และถ้ามี…โอกาสนั้นจะเกิดขึ้นกี่ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ?