หนี้ผิดนัด 6.6 แสนล้าน ธปท. สั่งแบงก์เกาะติด-เร่งแก้เชิงรุก

หนี้ผิดนัด

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับสังคมไทย เพราะเป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” แม้ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามมีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือประคองลูกหนี้ไว้ แต่ก็ยังคงมีกลุ่มที่ “เปราะบาง” และจำเป็นต้องมีมาตรการดูแลต่อเนื่อง

โดยตัวเลขล่าสุดของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ชี้ว่า ในไตรมาส 4 ปี 2565 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 86.9% จากไตรมาสก่อนหน้านี้อยู่ที่ 87% แต่สัดส่วนที่ลดลงมาจากจีดีพีที่ขยายตัวดีขึ้น เพราะตัวเลขมูลหนี้ยังคงเป็น “ขาขึ้น”

“ดนุชา พิชยนันท์” เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า มูลหนี้มีการปรับขึ้น 3.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยถ้าดูไตรมาสต่อไตรมาส จะเห็นว่าปรับตัวขึ้นที่ 1.1% จากไตรมาส 3/2565 ที่ขยายตัว 0.9% ส่วนใหญ่เป็นหนี้จากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่มีการปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 3 ต่อเนื่องมาไตรมาส 4 ปี 2565 ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับยังขยายตัวค่อนข้างสูงที่ 20.8% ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2565

“สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับ หมายถึงพวกบัตรเงินสด ที่มีการใช้กันในห้างสรรพสินค้า ซึ่งคงต้องมาดูแลกันให้รอบคอบอีกที เพื่อพยายามลดหนี้ครัวเรือนลง”

Advertisement

ลูกหนี้สินเชื่อรถค้างชำระมากขึ้น

ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังอยู่ระดับที่ทรงตัว โดยหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 2.62% หรือไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะ NPL สินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง แต่สินเชื่อรถยนต์ พบว่า NPL ปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง และเมื่อเข้าไปดู
สินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) สินเชื่อรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 แล้ว

ธปท.จับตาผิดนัด 6.6 แสนล้าน

ขณะที่ “สุวรรณี เจษฎาศักดิ์” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สัญญาณสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ทั้งระบบ ในไตรมาส 1/2566 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.6 แสนล้านบาท ปรับขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย แต่ตัวเลขต่ำกว่าในช่วงการระบาดของโควิด-19

“แม้ว่าลูกหนี้จะออกจากสถานการณ์โควิดได้ แต่ยังเผชิญกับปัญหาการเกิดสงครามในต่างประเทศ ส่งผลต่อราคาพลังงาน ทำให้ค่าครองชีพปรับสูงขึ้น และทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบต่อลูกค้า”
อย่างไรก็ดี หากดูไส้ในตัวเลข SM ที่อยู่ที่ 6.6 แสนล้านบาท ค่อนข้างจะกระจายทุกกลุ่ม ในสินเชื่อธุรกิจรายย่อย ทั้งสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล-บัตรเครดิต

ซึ่ง ธปท.ค่อนข้างกังวลสินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ดังนั้นจากสัญญาณ SM ที่ปรับเพิ่มขึ้น ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยให้สถาบันการเงินเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด และเข้าไปดูแลเชิงรุก เพื่อดูแลกลุ่มนี้ไม่ให้ตกชั้นเป็น NPL

Advertisement

ตาราง หนี้ผิดนัด

“ตัวเลข SM เพิ่มสูงขึ้น เรายังมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ยั่งยืนจนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งที่ผ่านมาแบงก์ก็ช่วยเหลือต่อเนื่อง เพราะ SM เป็นตัวเลขค้างชำระ 30 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล สถาบันการเงินสามารถปรับโครงสร้างหนี้และเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าก่อนเป็นหนี้เอ็นพีแอลได้ ทำให้ตัวเลขหนี้เสียจึงไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น เพราะแบงก์เองก็จะมีต้นทุนเพิ่มหากปล่อยให้เป็นหนี้เสีย และ ธปท.ก็มีทีมเข้าไปคุยกับแบงก์ทุกเดือน
หลังจากเห็นตัวเลข”

“หนี้สินครัวเรือนที่ขึ้นมาเป็นระดับสูงอย่างนี้ เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะเป็นตัวฉุดรั้งการเจริญเติบโตของประเทศ ฉะนั้นหลาย ๆ ฝ่ายจะต้องช่วยกัน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ได้อยู่ในกำกับ หรือผู้ให้บริการทางด้านการเงิน รวมถึงภาครัฐเองก็ต้องแก้ปัญหาอย่าง
ต่อเนื่อง” เลขาธิการ สศช.กล่าว

Advertisement

คาด ไตรมาส1/66 หนี้ครัวเรือนลดลง

“สุวรรณี” กล่าวว่า สำหรับภาพรวมหนี้ครัวเรือนในไตรมาสที่ 4/2565 ทรงตัวอยู่ที่ 86.9% ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/2566 มองไปข้างหน้า จากทิศทางจีดีพีที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 2.7% ตามรายงานของ สศช. จึงคาดว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนน่าจะทยอยลดลงได้ ขณะที่ดูคุณภาพสินเชื่อ หรือ NPL ก็ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.68% จาก 2.73% ซึ่งเป็นผลมาจากระบบธนาคารมีการปรับโครงสร้างหนี้ ตัดขายหนี้ หรือตัดหนี้สูญ เป็นต้น

“เอ็นพีแอลสินเชื่อธุรกิจปรับลดลงจาก 2.77% เหลือ 2.67% ซึ่งลดลงจากธุรกิจรายใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ขณะที่เอ็นพีแอลสินเชื่ออุปโภคบริโภค ปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.62% มาอยู่ที่ 2.68% โดยหากแยกรายผลิตภัณฑ์พบว่า เอ็นพีแอลสินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับจาก 3.01% เป็น 3.16% สินเชื่อรถยนต์จาก 1.88% เพิ่มเป็น 1.89% ส่วนสินเชื่อบัตรเครดิต ปรับลดลงเล็กน้อยจาก 3.12% มาอยู่ที่ 3.11% และสินเชื่อส่วนบุคคลปรับลดลงจาก 2.40% เหลือ 2.33%”

ออกมาตรการแก้หนี้กลางปีนี้

สำหรับมาตรการที่แก้หนี้ครัวเรือน “สุวรรณี” กล่าวว่า ธปท.พิจารณาอยู่ และคาดว่าจะออกมาภายในกลางปีนี้ จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.แก้หนี้เดิม คือ ให้สถาบันการเงิน ช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีคุณภาพเป็นอย่างน้อย 2.ปล่อยกู้ใหม่ อย่างมีความรับผิดชอบ (responsible lending)

ซึ่ง ธปท.อาจจะต้องเข้าไปดูแลไม่ให้เกิดการกระตุ้นผ่านโฆษณาเกินสมควร และ 3.ลูกค้าที่มีปัญหาจะต้องมีหน่วยงานเข้าไปดูแลไกล่เกลี่ย โดยเป็นการทำครบวงจร ตรงจุด ไม่หว่านแห ส่วนการกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) หรือไม่อย่างไร อาจจะต้องมีการพูดคุยกันอีกที

“หนี้เสียเราผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว โดย ธปท.พยายามให้เจ้าหนี้มอนิเตอร์อยู่ ซึ่งตัวเลขออกมาลดลงทั้งจำนวน และสัดส่วน ซึ่งหากย้อนไปดูหนี้ในปี 2540 เราเคยสูงสุดถึง 47% แต่มารอบนี้ประชาชนเดือดร้อนเป็นวงกว้าง เราก็มีมาตรการวงกว้าง และปรับมาสู่เฉพาะจุด เพื่อดูแลคนที่เดือดร้อน ซึ่งยังต้องมีมาตรการที่ต้องทำเพิ่ม แต่ไม่ใช่มาตรการใหม่ แต่เป็นการปรับให้สอดคล้องกับลูกหนี้ และเจ้าหนี้” ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

คงต้องติดตามการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนว่าจะช่วยได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างครบวงจร ไม่เช่นนั้นอาจจะแก้ไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และจะยิ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย