หุ้นไทยขึ้นสลับอ่อนตัว 1,505-1,510 จุด โหวตนายกฯ กดดันดัชนี

หุ้นไทย

บล.กรุงศรี ประเมินดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นก่อนสลับอ่อนตัวแนวต้าน 1,505-1,510 จุด ความไม่แน่นอนทางการเมืองประเด็นการโหวตนายกฯ กดดัน หุ้นเด่นวันนี้ PTTEP, SPA

วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ประเมินดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) ปรับตัวขึ้นก่อนสลับอ่อนตัวแนวต้าน 1,505-1,510 จุด ตามคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐที่จะประกาศในวันนี้ (12 ก.ค.) จะชะลอตัวลงช่วยให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย, ราคาน้ำมันดิบโลกดีดตัวขึ้นตอบรับจีนมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงแรงซื้อหุ้นรายตัวที่คาดงบฯไตรมาส 2/66 เติบโต อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนทางการเมืองประเด็นการโหวตนายกฯ จะกดดันให้ดัชนีสลับอ่อนตัว

สำหรับประเด็นสำคัญวันนี้

นักท่องเที่ยวจีนพุ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ : กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวฯ รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ (3-9 ก.ค. 2566) มีจำนวนทั้งสิ้น 555,644 คน ลดลง 2.36% จากสัปดาห์ก่อนหน้า เป็นผลจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 91,900 คน ทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ (+SPA AOT และ AAV)

ด้านน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นทำสถติติสูงสุดในรอบ 1 เดือนจากหลายปัจจัยหนุน : ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.84 ดอลลาร์ ปิดที่ 74.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 1) คาดหวังดีมายด์เพิ่มขึ้นหากจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ 2) ซัพพลายตึงตัวจากซาอุฯ ลดการผลิต และ 3) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า

คืนนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) บ่งชี้ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด : เบื้องต้น Consensus สหรัฐจะรายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน มิ.ย. ลดลงสู่ระดับ 3.1% จาก 4% ในเดือน พ.ค. และคาดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะลดลงแตะระดับ 5% จาก 5.3% ในเดือน พ.ค. (ลดลงมากกว่าคาดจะดีกับตลาด)

บล.กรุงศรี แนะนำหุ้นเด่น

– PTTEP (ปิด 152 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 169 บาท) ได้บรรยากาศ (Sentiment) บวกราคาน้ำมันดิบบวกแรง 1.83 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 74.83 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรลทำสถิติสูงสุดในรอบ 1 เดือน ส่งผลบวกโดยตรงต่อ PTTEP ในฐานะ Oil link Company

ADVERTISMENT

– SPA (ปิด 11.80 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 13.10 บาท) SPA เป็นบริษัทที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากก่อนโควิด-19 SPA มีรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็น 50% ของรายได้รวม