รมว.คลังแจกนโยบาย คปภ.-ซีอีโอบริษัทประกัน พุ่งเป้าโตยั่งยืน

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.กระทรวงการคลัง

“อาคม” รมว.คลัง แจกนโยบาย คปภ.-ซีอีโอบริษัทประกันภัย พุ่งเป้าโตยั่งยืน เน้นขับเคลื่อนนโยบาย SDGs-ESG ชี้หน่วยงานกำกับ-ธุรกิจต้องคุยกันให้มาก สร้างความเชื่อมั่นระบบประกันไทย ย้ำต้องรอบคอบในการออกโปรดักต์ เชียร์รับประกันพืชมีราคา-ต่อยอดประกันสุขภาพรับสังคมสูงวัย ศึกษาโมเดลเมืองนอกเปิดเสรี พร้อมต้องให้ความสำคัญการจัดการห่วงโซ่อุปทาน

วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน “การประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย : CEO Insurance Forum 2023” หัวข้อ “บทบาทของธุรกิจประกันภัยต่อการส่งเสริมให้เศรษฐกิจและสังคมเติบโตอย่างยั่งยืน” ว่า อุตสาหกรรมประกันภัยถือเป็นหนึ่งในแหล่งเงินออมของประชาชน ที่มีบทบาทช่วยสร้างหลักประกันให้กับชีวิตของคนไทยทุกคนได้ จึงอยากให้มองต่อไปในอนาคตว่าจะทำอย่างไรให้มีส่วนช่วยผลักดันภาคการเงินและการคลังให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นต่อไปในระยะยาว

ซึ่งปัจจุบันมีแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (ปี 2564-2568) ถ้าหากมีประเด็นตรงไหนที่คิดว่าสมควรจะต้องมีการปรับปรุง สามารถจะเสนอแลกเปลี่ยนกันได้ เพราะเป็น rolling plan ที่สามารถปรับปรุงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในแต่ละปี โดยมีสิ่งที่อยากจะฝากถึงอุตสาหกรรมประกันภัย 5 เรื่องคือ

1.ความเชื่อมั่นของระบบประกันภัยค่อนข้างมีความสำคัญมาก และต้องเชื่อมโยงกับการคุ้มครองผู้บริโภค พูดเสมอกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ว่าเวลาเกิดเหตุอะไรก็ตาม ผู้บริโภคต้องได้รับความคุ้มครอง โดยสำนักงาน คปภ. ต้องสร้างความมั่นใจต่อผู้เอาประกัน ขณะเดียวกันบริษัทประกันภัยก็ควรจะต้องมีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบด้วย เพราะเป็นเงินที่รับมาจากประชาชน ดังนั้นต่อไปบริษัทประกันภัยและหน่วยงานกำกับจะต้องพูดคุยกันให้มากขึ้น

2.การขับเคลื่อนนโยบายด้านความยั่งยืน (Sustainability) ให้ยึดกรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) โดยผสมผสานไปกับแนวคิดเรื่อง ESG ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลก็มีแนวทางในการพัฒนาแผน BCG ซึ่งครอบคลุมในเรื่องของ SDGs ทั้งหมดอยู่แล้ว

ADVERTISMENT

3.การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย ซึ่งตอนนี้ได้บทเรียนจากการอนุมัติขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิดแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ต่อไปคือ การอนุมัติผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ จะต้องมีการวิเคราะห์จุดอ่อนและความเสี่ยงต่าง ๆ ให้มีความรอบคอบมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ประกันภัยก็จะต้องมีความหลากหลายมากขึ้นด้วย

“ตอนนี้โครงสร้างพื้นฐานของรัฐ อาทิ สะพาน, ทางยกระดับ, สนามบิน, ท่าเรือ ถามว่าเรามีการประกันภัยหลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้นหรือไม่ นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มักจะถูกทำลายโดยภัยธรรมชาติ ฉะนั้นธุรกิจประกันภัยสามารถนำปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ เข้ามาประกอบในการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยและอัตราเบี้ยได้” นายอาคมกล่าว

ADVERTISMENT

รวมถึงการผลักดันการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยพืชที่มีราคา แม้จะมีความยากลำบากอยู่ เพราะความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แต่เชื่อว่ายังพอเห็นการคาดการณ์ได้ จึงเล็งเห็นว่านี่คือโอกาส และจะช่วยทำให้เกษตรกรที่หันมาทำพืชหลังนามีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นส่วนช่วยให้เกษตรกรเติบโตขึ้นมาได้

นอกจากนี้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคนไทยต้องการหลักประกันในชีวิตบั้นปลายที่เพียงพอ ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพถือเป็นโอกาสที่จะต่อยอดต่อไปได้อีกมาก

4.การเปิดเสรีด้านการบริการของธุรกิจประกันภัย ซึ่งขณะนี้ยังแบ่งรับแบ่งสู้กันอยู่ แต่ในวันข้างหน้าคาดว่าจะถูกแรงกดดันมากขึ้น ฉะนั้นจะต้องศึกษาจากประสบการณ์ในต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเราเองด้วย

5.อยากให้อุตสาหกรรมประกันภัยมองเรื่อง Supply Chain Management (การจัดการห่วงโซ่อุปทาน) ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ เช่น ความเสียหายที่เกิดขึ้น, การให้คนเข้าไปสู่ระบบประกันภัย เพราะต้องมีการประกันตลอดห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ห่วงโซ่อุปทานถูกขัดจังหวะ (interrupt) จะมีความเสียหายเกิดขึ้นได้