รู้จัก LMTs เครื่องมือบริหารความเสี่ยงสภาพคล่อง “กองทุนรวม”

บทความโดย “เธียรทยะ ฌอสกุล”
CFP และ Plant Consultant สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

วันที่ 4 กันยายน 2566 เครื่องมือบริหารความเสี่ยงสภาพคล่องของกองทุนรวม หรือ Liquidity Management Tools (LMTs) นักลงทุนในกองทุนรวมอาจเคยได้ยินผ่านหู ได้เห็นผ่านตามาบ้างจากประกาศ หรือ จดหมายแจ้งโดย บลจ. และจากประกันควบการลงทุน หรือ สื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ

แต่น้อยคนนักที่จะได้เริ่มอ่านและพยายามทำความเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเครื่องมือเหล่านี้มีหน้าที่อย่างไรและเหตุใด บลจ. ต้องประกาศบังคับใช้ ซึ่งแน่นอนว่าเครื่องมือแต่ละชนิดนั้นมีความสำคัญไม่น้อย ในยามที่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องมือเหล่านี้ นักลงทุนจึงควรศึกษาให้เข้าใจถึงผลกระทบต่อตัวนักลงทุนเองเป็นสำคัญ

แรกเริ่มเดิมที LMTs ถูกนำมาใช้โดย บลจ. ในต่างประเทศเพื่อเข้ามาช่วยควบคุมความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของกองทุน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าหากกองทุนเปรียบเสมือนธนาคารพาณิชย์ เวลาคนไปฝากเงินที่ธนาคาร ทางธนาคารจะนำเงินไปปล่อยกู้ต่อบางส่วน นำไปซื้อพันธบัตรบางส่วน นำไปลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำผลกำไรมาจ่ายคืนผู้ฝากเงินในรูปแบบของดอกเบี้ย

ดังนั้นหากมีข่าวร้ายหรือสถานการณ์ผิดปกติ ไม่ว่าจากตัวธนาคารเอง หรือสภาวะเศรษฐกิจภายนอก ย่อมส่งผลให้คนขาดความเชื่อมั่นและแห่ถอนเงินจากธนาคาร เมื่อคนเริ่มแห่ถอนเงิน ธนาคารจึงขาดสภาพคล่อง เพราะไม่สามารถเรียกคืนเงินที่ปล่อยกู้กลับมาได้ในทันที หรืออาจจำเป็นต้องขายเงินลงทุนจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้รายการขายเหล่านั้นโดนกดราคา จนไม่มีเงินเพียงพอหมุนมาให้ประชาชนถอน และมีความเสี่ยงต้องล้มละลายในที่สุด

ภาพของกองทุนนั้นไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนประเภทใด ตราสารหนี้หรือตราสารทุน เมื่อวิกฤตมาเยือน หากผู้ถือหน่วยขายคืนหน่วยลงทุนจำนวนมากพร้อม ๆ กัน กองทุนอาจไม่สามารถขายเงินลงทุนที่กระจายอยู่หลายแห่งได้ทันท่วงที

บ้างเป็นเงินฝากประจำ การถอนเงินฝากประจำออกมาระหว่างทางที่ยังไม่ครบกำหนด ส่งผลให้กองทุนไม่ได้ดอกเบี้ย บ้างเป็นหุ้นกู้ที่มีสภาพคล่องต่ำ ต้องตัดใจขายทุกราคาทำให้เกิดผลขาดทุนขึ้น และสะท้อนผลขาดทุนนั้นเข้าไปในมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ณ สิ้นวัน

ADVERTISMENT

ซึ่งยิ่ง NAV ลดลงไปเยอะเท่าไร ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ถือหน่วยมากขึ้นเท่านั้น และพากัน “แห่ถอน” จนกองทุนไม่สามารถดำรงอยู่ได้ และอาจต้องเลิกกองไปในที่สุด ถึงแม้ว่าวิกฤตนั้นอาจเป็นวิกฤตสั้น ๆ ที่ถ้าหากผ่านไปได้ ทุกอย่างก็จะเป็นปกติ

สถานการณ์ COVID-19 ที่สร้างความผันผวนให้สินทรัพย์ในกองทุนรวมถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการใช้ LMTs ในกรณีที่นักลงทุนแห่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยการซื้อขายของนักลงทุนจะถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขที่มากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพให้กับกองทุนและผู้ถือหน่วยลงทุน

ADVERTISMENT

LMTs สามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม (ได้เงินขายคืนน้อยลงหรือซื้อในราคาแพงขึ้น) และ กลุ่มที่จำกัดการทำธุรกรรมของผู้ถือหน่วย (ห้ามซื้อขายหรือขายได้บางส่วน)

กลุ่มคิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม

Liquidity Fee / Swing Pricing / Anti-Dilution Levies (ADLs)

กรณีมีการซื้อหรือขายคืนหน่วยลงทุนมากเกินจำนวนที่หนังสือชี้ชวนกำหนดต่อวัน นักลงทุนที่ซื้อหรือขายคืนหน่วยลงทุนนั้นจะถูกคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เปรียบเหมือนการผลักภาระต้นทุนการซื้อขายสินทรัพย์ให้ผู้ถือหน่วยรายที่ซื้อหรือขายในวันนั้น ส่งผลให้ผู้ขายหน่วยลงทุนได้เงินน้อยลง หรือผู้ซื้อหน่วยลงทุนต้องจ่ายในราคาที่แพงขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยรายอื่นที่ยังถือหน่วยกองทุนดังกล่าวอยู่จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ โดยการเลือกใช้เครื่องมือกลุ่มนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนในปัจจุบันเสียประโยชน์จากการมีเงินลงทุนใหม่เข้ามาหรือมีการขายคืนออกไปเป็นจำนวนมากซึ่งทำให้ผลตอบแทนรวมในกองทุนลดลง

กลุ่มจำกัดการทำธุรกรรม

Redemption Gate = กำหนดเพดานการขายคืนต่อวันของแต่ละกองทุนไม่ให้ขายคืนมากจนเกินไป โดยถ้าหาก บลจ. ได้รับคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุนเกิน Redemption Gate บลจ. จะชำระเงินค่าขายคืนแก่ผู้ถือหน่วยแต่ละรายตามสัดส่วนเทียบกับ Redemption Gate

Notice Period = หากผู้ถือหน่วยต้องการขายคืนหน่วยลงทุนปริมาณมาก จะต้องแจ้ง บลจ. ก่อนล่วงหน้า

Side Pocket = กรณีมีตราสารหนี้ที่ผิดนัดชำระ หรือตราสารขาดสภาพคล่อง ตราสารเหล่านี้ต้องถูกแยกออกไปไม่นำมาคำนวณใน NAV ทำให้มูลค่า NAV ลดลง แต่ถ้ามีการจ่ายคืนเงินจากตราสารดังกล่าว ผู้ถือหน่วยก็จะได้เงินคืนเช่นกัน

Suspension of Dealings = มีการระงับการซื้อขายหน่วยลงทุนชั่วคราวจนกว่าจะผ่านช่วงวิกฤติ ซึ่งเป็นเครื่องมือกรณีฉุกเฉินรุนแรงที่สุดถึงจะนำมาใช้

เมื่อรู้ถึงกลไกการทำงานของ LMTs ประเภทต่างๆ แล้ว นักลงทุนคงเข้าใจแล้วว่า บลจ. มีเครื่องมือในการบริหารสภาพคล่องเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อ NAV ที่เกิดขึ้นจากปริมาณการซื้อขายผิดปกติที่เกิดขึ้นในยามวิกฤต และสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในอนาคตให้ดียิ่งขึ้น