
วิจัยกรุงศรีเผยมาตรการยกเว้นการขอวีซ่า-ลดค่าครองชีพ หนุนภาคการท่องเที่ยว-การบริโภคเชิงบวก ชี้ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจจีนชะลอตัว กดดันการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวจีน หลังฟื้นตัวเพียง 30% จับตาหนี้อยู่ในระดับสูง-รายได้เกษตรถูกกระทบจากภัยแล้ง
วันที่ 19 กันยายน 2566 วิจัยกรุงศรีระบุว่า ทางการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวโดยออกมาตรการยกเว้นการขอวีซ่า (VISA-free entry) แก่นักท่องเที่ยวจีน แต่ยังต้องจับตารายรับจากการท่องเที่ยว ล่าสุดรัฐบาลออกมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติสำคัญโดยเฉพาะจากจีนและคาซัคสถาน ภายใต้นโยบายยกเว้นการขอวีซ่าเข้าประเทศ (VISA-free entry) เป็นเวลาชั่วคราวราว 5 เดือน (เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567) เบื้องต้นทางการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มเป็น 7 แสนคนต่อเดือน ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จากเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่เข้ามาเฉลี่ยประมาณ 4 แสนคนต่อเดือน
- หวั่น EV ไทย…ซ้ำรอยจีน
- “ทรู-ดีแทค” ถล่มโปร “คืนค่าเครื่อง” ย้ำรวมกันได้มากกว่า
- เปิด “ผังน้ำ” ประกบผังเมือง เขย่าราคาที่ดินทั่วประเทศ
ข้อมูลล่าสุดจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 10 กันยายน มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยรวมทั้งสิ้น 18.53 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 775,295 ล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวจีนสะสมที่ 2.28 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย (2.99 ล้านคน) และเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิดพบว่านักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบันฟื้นตัวราว 30% เทียบกับนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียและรัสเซียที่ฟื้นตัวเกินกว่า 100% ส่วนนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และอินเดียฟื้นราว 80%
ทั้งนี้ มาตรการยกเว้นการขอวีซ่าอาจช่วยหนุนให้นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเองและในรูปแบบทัวร์เพิ่มมากขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาก่อนหน้าที่การอนุมัติวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนมีความล่าช้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจจำกัดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีน ทั้งนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 42,000 บาทต่อคน น้อยกว่า 48,000 บาทต่อคน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2562 หรือก่อนเกิดโควิด-19
การบริโภคภาคเอกชนอาจได้แรงหนุนจากการปรับดีขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภคและมาตรการบรรเทาค่าครองชีพจากภาครัฐ
โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.9 จากเดือนกรกฎาคมซึ่งปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน ที่ 55.6 ปัจจัยบวกจากการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความชัดเจน ซึ่งจะช่วยทำให้มีการเดินหน้าด้านนโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่น คาดการณ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 (ซึ่งเป็นช่วงต้นของการระบาดของโรคโควิด-19) ที่ 64.2 จาก 62.8 ในเดือนกรกฎาคม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินนโยบายเร่งด่วนในส่วนของมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทางด้านราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าแก่ประชาชน ดังนี้ 1.ปรับลดราคาน้ำมันดีเซลเหลือไม่เกินลิตรละ 30 บาท (ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565) จากปัจจุบันอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร (เริ่มวันที่ 20 กันยายนถึงสิ้นปีนี้) และตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน (เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม) และ 2.ปรับลดค่าไฟฟ้าจาก 4.45 บาทต่อหน่วย เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย เริ่มในรอบบิลเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2566
ทั้งนี้ แม้การบริโภคภาคเอกชนจะได้ผลเชิงบวกจากมาตรการและความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้น แต่ยังเผชิญกับปัจจัยที่อาจลดทอนการเติบโตได้ อาทิ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น และรายได้เกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง
- “โกลเบล็ก” แนะลงทุน 4 หุ้นพลังงานรับน้ำมันแพง
- ไทยชง 5 ประเด็น ขอ FAO หนุนสร้างความมั่นคงอาหาร รับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
- สรรพากรถกคำสั่งใหม่ “เงินได้จากต่างประเทศข้ามปี” ต้องเสียภาษี