
“บล.เอเซีย พลัส” วิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุนเดือน พ.ย. 2566 ชี้มี 3 ปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศต้องจับตา ระบุสงครามอิสราเอลเป็นตัวแปรสำคัญกระทบ “ราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย-ตลาดหุ้น” เผยภาพรวม SET Index ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาปรับฐานลงลึกติดลบเกิน 10% เชื่อหากสงครามจบลง SET ฟื้นตัวได้จากปัจจัยหนุนเฉพาะตัว พร้อมแนะนำ 7 หุ้นเด่น เดือน พ.ย.
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด นำเสนอบทวิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุนเดือน พ.ย. 2566 โดยระบุว่า ในเดือนนี้ยังมีประเด็นความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตาเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส เป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
- MOTOR EXPO 2023 ยอดขายรถ 4 วันแรกทะลุ 8,300 คัน
- สพฐ.ประกาศหยุดเรียน 4-8 ธ.ค.ให้นักเรียน ม.ปลายเตรียมสอบ TGAT/TPAT
- เช็กเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท เงินเข้าบัญชีวันนี้ 38 จังหวัด
ประเด็นความเสี่ยงต่างประเทศที่ต้องจับตามี 3 ส่วน
- สถานการณ์สงคราม อิสราเอล-ฮามาส เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งหากมีการขยายวงกว้างไปสู่ความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค อาจทำให้ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และยังยากที่ธนาคารกลางต่าง ๆ จะรับมือได้โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
- การเข้าสู่ภาวะเอลนีโญมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งอาจเป็นตัวเร่ง COST PUSH INFLATION ขึ้นได้
- การประชุมของธนาคารกลางต่าง ๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ น่าจะเห็นการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับที่เหมาะสมตาม Bond Yield 1 ปี เกือบทุกประเทศต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายแล้ว หลังมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมานานเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง
อย่างไรก็ตาม ภาพรวม SET INDEX ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ก.ย.-ต.ค.) ปรับตัวลดลงเกิน 10% ซึ่งเป็น การลดลงลึกมาก จนมีระดับ PECENTILE สูงกว่า 90% เมื่อเทียบกับข้อมูลที่มีทั้งหมดใน 48 ปีที่ผ่านมา แต่หากไม่มีสงคราม หรือสงครามจบลงเชื่อว่า SET จะฟื้นตัวได้จากหลายปัจจัยเฉพาะตัวหนุน
ปัจจัยหนุน มีดังนี้
1) รัฐบาลใหม่ทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง
2) เศรษฐกิจไทยช่วง 2H66 ดูดีขึ้นคาดเติบโตเฉลี่ยไตรมาสละ 3.8% YOY ซึ่งมีตัวเร่งเศรษฐกิจ คือ ภาคการท่องเที่ยวการลงทุนภาครัฐฯ การส่งออกและการบริโภคในประเทศ
3) คาดหนุนกำไร 3H66 เติบโตทั้ง QOQ และ YOY 4) Valuation ของ SET อยู่ในจุดที่น่าทยอยสะสมหุ้นทั้ง P/E66F อยู่ที่ 15.5 เท่า (อยู่ใน ระดับ -1.5 SD), PBV ที่อยู่ 1.34 เท่า (ต่ำกว่าระดับ -2 SD), MEYG66F อยู่ที่ 3.8 เท่า (สูงกว่าหลาย ๆ ประเทศ), EPS GROWTH 67F อยู่ที่ 12.6% สูงเป็นระดับต้น ๆ ในเอเชีย
ในส่วนของ Fund Flow ถ้า FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือน พ.ย. เป็นต้นไป อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่า หรือค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าได้ รวมถึงเงินบาทน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังดุลการค้าดีกว่าคาด หนุนให้ FUND FLOW ค่อยทยอยไหลกลับมาในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีและในปีหน้าได้ และน่าจะสอดคล้องกับในอดีต เวลาค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
หุ้นมักปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาจะถูกเพิ่มน้ำหนัก และมักจะ Outperform ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วเสมอ เนื่องจากมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนบวกเพิ่มไปอีก
ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์ลงทุน ประจำเดือน พ.ย. โดยแนะนำเอาชนะตลาดด้วยการ BUY & HOLD โดยกระจายการลงทุนให้หุ้นพื้นฐานดีที่แอบซ่อนอยู่ในหลากหลาย SECTOR อย่าง CPN, ERW, BH, MAJOR, WHA, CPALL, TIDLOR