
ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “RS” เป็น “BBB-” จาก “BBB” แนวโน้ม “stable” เหตุผลดำเนินงานธุรกิจพาณิชย์อ่อนแอ คาดแบกภาระหนี้ระดับสูงนานกว่าคาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทริสเรทติ้งประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อาร์ เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เป็นระดับ “BBB-” จากเดิมที่ระดับ “BBB” พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิต “stable” หรือ “คงที่”
โดยการลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานในธุรกิจพาณิชย์ (commerce business) ของบริษัทที่อ่อนแอกว่าคาดและสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่า ภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงในระยะเวลาที่นานกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
การทบทวนอันดับเครดิตยังคงพิจารณารวมไปถึงความแข็งแกร่งและประสบการณ์ของบริษัทในอุตสาหกรรมบันเทิง (entertainment industry) ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนฐานะทางการตลาดและรูปแบบการดำเนินธุรกิจโดยภาพรวมของบริษัท อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทจะยังคงเผชิญกับความทายอย่างต่อเนื่องจากผลของสถานการณ์การใช้จ่ายและกำลังซื้อที่อ่อนแอและการแข่งขันที่รุนแรง
สำหรับประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต ได้แก่ ผลการดำเนินงานของธุรกิจพาณิชย์ที่อ่อนแอกว่าคาด โดยรายได้จากธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทลดลงอีก 12% โดยมาอยู่ที่ระดับ 729 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 หลังจากที่ลดลง 24% ในช่วงเดียวกันของปี 2565 ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทอ่อนแอลง แม้ว่าบริษัทจะมีความพยายามในการขยายขอบเขตธุรกิจนอกเหนือไปจากช่องทางโทรทัศน์ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายตามปกติก็ตาม
ขณะที่การปรับโครงสร้างธุรกิจบันเทิงและกลับมาเน้นธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทอย่างจริงจังอีกด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะทำเพลงใหม่ออกสู่ตลาดปีละประมาณ 100-150 เพลง
ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 3.6-4.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 และคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA margin) อยู่ที่ระดับ 13%-19%
โดยมองว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะถูกกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันที่สูงทั้งในธุรกิจพาณิชย์และธุรกิจสื่อจะจำกัดความสามารถของบริษัทในการขึ้นราคาอีกด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ที่ประมาณ 500-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568
อย่างไรก็ดี ภาระหนี้จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยกระบวนการลดหนี้ของบริษัทอาจจะใช้ระยะเวลาที่ยาวนานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าเมื่อพิจารณาจากแรงกดดันด้านกำไรและระดับหนี้ที่สูงในปัจจุบัน โดย ณ เดือน มิ.ย. 2566 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 5-7 เท่าในช่วงปี 2566-2567
โดยได้พิจารณารวมถึงเงินที่บริษัทได้รับจากการขายหุ้นใน บริษัท อาร์เอส ยูเอ็มจี จำกัด (RS UMG) จำนวน 1.6 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 แล้ว