CHG ราคาดิ่งหนัก 16% สังเวยผู้บริหารอินไซด์หุ้น โบรกแนะ “ขาย”

CHG

หุ้น CHG ดิ่งหนักทำจุดต่ำสุดที่ราคา 2.60 บาท ปรับตัวลดลง 16.13% บล.บัวหลวง ชี้เอฟเฟ็กต์ผู้บริหารอินไซด์หุ้น แรงกดดันต่อแนวโน้มกำไรจากโรงพยาบาลแห่งใหม่ อัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจการดูแลสุขภาพลดลง แนวโน้มไตรมาส 4 ถึงปี 2567 ไม่น่าดึงดูด แนะนำ “ขาย”

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวด้านราคาหุ้นของบริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG เปิดตลาดภาคเช้าที่ราคา 3.02 บาท ลดลง 0.08 บาท หรือติดลบ 2.58% เมื่อเทียบจากราคาวันก่อนหน้า และลงไปทดสอบระดับต่ำสุดที่ราคา 2.60 บาท ลดลง 0.5 บาท ติดลบ 16.13% โดย ณ เวลา 14.40 น. ติดลบอยู่ราว 10.32%

นายปัญจพล แท่นศรีเจริญ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า เราได้ปรับลดคำแนะนำต่อหุ้น CHG มาเป็น “ขาย” โดยสะท้อนจาก 1.ข่าวเกี่ยวกับกรรมการผู้จัดการของ CHG ที่ใช้ข้อมูลภายใน 2.CHG น่าจะไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายปี 2566 โดยกดดันจากอัตรากำไรขั้นต้นจากโรงพยาบาลใหม่และต้นทุนที่สูงขึ้น

3.ราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลระดับกลางอื่น และ 4.มีความเสี่ยงต่อราคาหุ้นถึง 20% อิงจากภาพกำไรที่ไม่น่าตื่นเต้น

โดยทางสำนักงาน ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ได้ดำเนินคดีแพ่งกับ ดร.กำพล พลัสสินทร์ กรรมการผู้จัดการและกรรมการบริษัท คุณกฤษณ์ พลัสสินทร์ และนางสาวกุลภา พลัสสินทร์ กรณีซื้อหุ้น CHG โดยใช้ข้อมูลภายใน โดยบุคคลทั้งสามจะต้องจ่ายค่าปรับรวมทั้งสิ้น 8 ล้านบาท และห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหาร

Advertisment

ทั้งนี้ CHG แถลงว่า ดร.กำพล พลัสสินทร์ ลาออกจากตำแหน่งแล้วในวันที่ 10 พ.ย. 2566 (วันเดียวกับที่ ก.ล.ต.ดำเนินคดี)

ส่วนที่ CHG ตั้งเป้ารายได้ 8 พันล้านบาท ในปี 2566 แต่เราไม่คาดว่าบริษัทจะทำได้ตามเป้า เราคาดว่ารายได้ค่ารักษาพยาบาลของ CHG จะอยู่ที่ 7.6-7.7 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าของ CHG 4-6%

Advertisment

เนื่องจากมีการขาดทุนที่สูงจากโรงพยาบาลแห่งใหม่ คือโรงพยาบาลจุฬารัตน์แม่สอด (CHM) CHG มีความเสี่ยงด้านอัตรากำไรขั้นต้น จากธุรกิจการดูแลสุขภาพจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่และต้นทุนที่สูงขึ้น

CHM เน้นผู้ป่วยระดับ A-Class ด้วยเงินลงทุน 600 ล้านบาท ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการในเดือน มิ.ย. 2566 (ขาดทุนในไตรมาส 2/66 ที่ 17-18 ล้านบาท) นอกจากนี้ CHG คาดว่า CHM จะมีการขาดทุน 50 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงขาดทุนอีก 32 ล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

นอกจากนี้การผลักค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้น (ค่ายาและเจ้าหน้าที่) ให้กับผู้ป่วยยังทำได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยของ CHG มีความอ่อนไหวต่อราคา (ราคาที่สูงขึ้นหมายถึงจำนวนผู้ป่วยที่ลดลง)

ขณะที่หุ้นซื้อขายบน PER ปี 2567 ที่ 28 เท่า ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับ BCH (แนวโน้มกำไรของ BCH ดีกว่า) เรากังวลว่าข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน อาจทำให้ทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนที่ไม่ใช่สถาบันเป็นกังวล ตามที่สะท้อนในอัตราส่วนราคาต่อกำไร ในกรณีที่คล้ายกัน ซึ่งของ BDMS ถูกสำนักงาน ก.ล.ต.สั่งปรับจากการใช้ข้อมูลภายใน (เดือน ม.ค. 2562) PE ก็ลดลงจาก 43 เท่ามาเป็น 34 เท่า ลดลง 20%

ดังนั้นเราจึงเห็นความเสี่ยงต่อราคาหุ้น CHG จาก PE ที่ 34 เท่า โดยใช้กรณีศึกษาเดียวกันกับ BDMS ทั้งนี้ PE ของ CHG จะอยู่ที่ 25-27 เท่า ซึ่งจะทำให้ราคาเป้าหมายใหม่ของเราลดลงเหลือ 2.5 บาท เราได้ปรับลดคำแนะนำจาก “ซื้อ” มาเป็น “ขาย” จากข่าวเชิงลบ แรงกดดันต่อแนวโน้มกำไรจากโรงพยาบาลแห่งใหม่ อัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจการดูแลสุขภาพที่ลดลง และแนวโน้มไตรมาส 4/2566 ถึงปี 2567 ที่ไม่น่าดึงดูด