บลจ.ทหารไทย ชงก.ล.ต. ขอเพิ่มทุน 2 กองทุน FIFเด่น” TMBGQG-TMBCOF” วงเงินรวม 4 พันล.บาท

บลจ.ทหารไทย  ยื่นก.ล.ต. ขอเพิ่มทุน 2 กองทุน FIFติด 5 ดาวมอร์นิ่งสตาร์ นำโดย”กอง TMBGQG และ กอง TMBCOF วงเงินเพิ่มทุนรวม 4 พันล้านบาท หนุนการเติบโตของกองทุนในอนาคต “สมจินต์”ชี้เป็นกองทุนที่ตอบโจทย์คนไทยที่อยากเพิ่มลงทุนตปท. เจาะภูมิภาคที่เติบโตดีหนุนสร้างผลตอบแทน พร้อมกระจายความเสี่ยงการลงทุน

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย จำกัด หรือ TMBAM  เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นขอเพิ่มทุนจดทะเบียนของกองทุนต่างประเทศ (FIF) 2 กองทุน กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ได้แก่   กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth หรือ TMBGQG โดยได้ขอเพิ่มทุนอีก 2,000 ล้านบาท ทำให้กองทุนนี้มีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท และกองทุนเปิดทหารไทย China Opportunity  หรือ TMBCOF ได้ขอเพิ่มทุนอีก 2,000 ล้านบาท ทำให้กองทุนมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ กองทุน FIF ทั้ง 2 กองทุนข้างต้น เป็นกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จากมอร์นิ่งสตาร์ทั้งส่วนของกองทุนหลัก (Master Fund) และกองทุนของTMBAM (Feeder Fund) ซึ่งได้รับการตอบรับดีจากผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และพร้อมกระจายความเสี่ยงไปยังภูมิภาคที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีและมีคุณภาพ

“การขอเพิ่มทุนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของเราในการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อเฟ้นหาผลิตภัณฑ์คุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการด้านการลงทุนของผู้ลงทุนชาวไทย” นายสมจิตน์กล่าว

สำหรับกองทุน TMBGQG มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ซึ่งมีกองทุนหลักที่ชื่อ Wellington Global Quality Growth Fund ในหน่วยลงทุนชนิด USD Class S Accumulating Unhedged เพียงกองเดียว ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  และปัจจุบัน TMBGQG สร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 11.55% นับตั้งแต่จัดตั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัดที่ 7.13%

ส่วนจุดเด่นของกองทุนหลักอยู่ที่กระบวนการคัดกรองหุ้นคุณภาพจากทั่วโลกประกอบในพอร์ตลงทุนประมาณ 60-90 บริษัท เพื่อสร้างผลตอบแทนให้มีโอกาสเหนือกว่าดัชนีชี้วัดอย่างสม่ำเสมอ (Alpha) โดยหุ้นที่ผ่านการคัดกรองจะต้องมีคุณภาพการดำเนินธุรกิจโดยปกติที่เติบโตได้ดี พื้นฐานแข็งแรงและมีโมเดลธุรกิจที่มีคุณภาพเหนือคู่แข่งในระยะยาว มีระดับราคาที่เหมาะกับการลงทุนโดยพิจารณาจากกระแสเงินสดอิสระ และมีการจ่ายผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น

ส่วน กองทุน TMBCOF มีนโยบายเน้นลงทุนใน กองทุนหลักที่ชื่อ UBS (Lux) Equity Fund – China Opportunity (USD) ในหน่วยลงทุนชนิด Class I – A1-acc ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจหลักในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะหุ้นที่อยู่ในธุรกิจกระแสหลัก อาทิ ธุรกิจ Information Technology สุขภาพ การศึกษารูปแบบใหม่ๆที่สอดคล้องกับสังคมเมือง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน กองทุนนี้สร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 19.02% นับตั้งแต่จัดตั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัดที่ 14.72% และโดยเฉพาะปี 2560 ที่ผ่านมา สามารถสร้างผลตอบแทนได้ระดับต้นๆของอุตสาหรกรรมกองทุนรวมประเภทหุ้น กล่าวคือสร้างผลตอบแทนได้ถึง 50.33% ขณะที่ดัชนีชี้วัดที่ 40.18% (ข้อมูลทั้งสองกองทุนจาก Fund Fact sheet ณ 28 กุมภาพันธ์ 2561)

นายสมจินต์ กล่าวยืนยันว่า การเพิ่มทุนจดทะเบียนกองทุนนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิใดๆ ของผู้ถือหน่วย และไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยลงทุน (NAV)