ตลท. ประเมินฟันด์โฟลว์ทะลัก “อาเซียน” หุ้นไทยเด่น เศรษฐกิจฟื้น

ตลท.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประเมินฟันด์โฟลว์ทะลัก “อาเซียน” ตลาดหุ้นไทยปี 2567 โดดเด่นรับเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ดึงดูดฟันด์โฟลว์ไหลกลับ

วันที่ 11 มกราคม 2567 นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปี 2566 หลังจากทิศทางเงินเฟ้อโลกปรับลดลง และธนาคารกลางสำคัญต่าง ๆ ในหลายประเทศ มีท่าทีผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่เข้าสู่สภาวะถดถอยอย่างรุนแรง ผู้ลงทุนจึงเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ บิตคอยน์, ตลาดหุ้นในหลายประเทศ และพันธบัตรผลตอบแทนสูง

อย่างไรก็ดีในปี 2567 มีโอกาสที่เงินลงทุนเคลื่อนย้ายมาตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก สังเกตจากเงินบาทที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าในระยะปานกลาง ประกอบกับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้สูงกว่าคาด ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว การส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) และ Forward P/E ในปี 2567 ของดัชนี SET ไปยังจุดที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า

ขณะที่มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมใน SET ที่มีคาดการณ์ EPS Growth สูงแต่มี valuation ที่ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต นอกจากนี้ยังมีเรื่องงบประมาณภาครัฐที่ปีนี้จะมีถึง 2 ก้อน ก้อนแรกคือช่วงเดือนพฤษภาคม ที่เลื่อนจากตุลาคมปีที่แล้ว และก้อนที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2567 ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มาเสริม

สำหรับภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทย ในเดือนธันวาคม 2566 ดัชนี SET ปิดที่ 1,415.85 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.6% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับลดลง 15.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 39,980 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 28.8%

ADVERTISMENT

โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2566 อยู่ที่ 53,331 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นเดือนแรกหลังจากขายสุทธิ 10 เดือนต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวม 192,083 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 20 อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.21% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ 3.28%

ทั้งนี้ ต้องติดตามช่วงปลายเดือนมกราคม เนื่องจากยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนและความผันผวนอยู่ รวมถึงจับตาในภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาได้อีกหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ เรื่องของมาตรการฟรีวีซ่า สำหรับนักท่องเที่ยวจีน และเรื่องของเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะดีขึ้น แต่ในข่าวที่ออกมาก็ยังมีความกังวลเรื่องหนี้และแบงก์ ต้องติดตามว่าเศรษฐกิจจีนในปีนี้จะเป็นปัจจัยบวกหรือปัจจัยลบในการเดินทางมาไทยของนักท่องเที่ยวจีน

ADVERTISMENT

รวมถึงติดตามปัจจัยที่สามารถเป็นได้ทั้งความเสี่ยงและโอกาส ทั้งการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ความคาดหวังของนักลงทุน ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเลือกตั้งของประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐ รวมถึงเรื่องของเทรนด์ความยั่งยืน

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาตลาดทุนไทยถูกผลกระทบมาค่อนข้างมาก แต่ในปีนี้มองว่าจะมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น แม้จะมีหลายอุตสาหกรรมถูกผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนของโลก และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวมากกว่าปีที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้นหากเศรษฐกิจเติบโต บริษัทจดทะเบียนจะมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะเป็นตัวชี้นำว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น

ด้านทิศทางฟันด์โฟลว์ กลุ่มนักลงทุนที่เคลื่อนไหวในระยะสั้น จะเคลื่อนไหวเข้า-ออกตลาดหุ้นไทยตลอด เมื่อไรก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงในตลาด นักลงทุนก็จะขยับและปรับพอร์ต โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทยมีสัดส่วนประมาณ 30% ซึ่งหากประเทศไทยเริ่มมีปัจจัยสนับสนุนที่แสดงให้เห็นว่าการเข้ามาลงทุนในระยะสั้นในประเทศไทยดีมากขึ้น เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลกลับเข้ามาในไทยมากขึ้นแน่นอน

ในส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2567 ตลาดหลักทรัพยฯ จะนำผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเข้ามาให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนได้สะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกันจะปรับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ให้เข้มข้นขึ้นก่อนที่จะเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ SET-mai รวมถึงจะมีการกำกับดูแลในการซื้อขายให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะมีการเสนอแผนดำเนินงานที่ชัดเจนในวันที่ 19 ม.ค. 2567

“เราจะแสดงให้เห็นว่าเรามีการปรับตัว ร่วมกับ stakeholder ในตลาดทุนไทย และมีการทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)”