เศรษฐกิจที่ “เข้มแข็ง” กับความผันผวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น

คอลัมน์ ลงทุนทั่วโลก

โดย สุรศักดิ์ ธรรมโม

เมื่อ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่การคาดการณ์เศรษฐกิจโลกล่าสุด และโดยที่ตลาดช่วงนี้มีประเด็นที่ผันผวนมาก ซึ่งมุมมองและความเห็นของผมเป็นดังนี้

1.ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวได้ดี

การคาดการณ์ล่าสุด (17 เม.ย. 2561) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าจะขยายตัวที่ 3.9% เท่ากับการประเมินครั้งก่อนเมื่อปลาย ม.ค.ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าแม้มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น แต่ IMF ยังคงมองมุมบวกต่อเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าตามเดิม โดยการคาดการณ์ล่าสุดนี้ IMF upgrade เศรษฐกิจยุโรปดีขึ้นกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อน

นอกจากนี้ สัญญาณจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั่วโลกที่รายงานเป็นรายเดือนยังคงมีทิศทางที่แข็งแกร่งอยู่

อีกทั้งการที่เศรษฐกิจจีนไตรมาสแรกปีนี้เพิ่งประกาศมา ขยายตัวที่ 6.8% ถือว่าดีตามคาด เป็นข้อมูลที่บ่งบอกว่า “พื้นฐานเศรษฐกิจโลกยังคงแข็งแกร่ง”

2.ความไม่แน่นอนในตลาดที่เพิ่มขึ้นมากในปลายเดือน มี.ค. และต่อเนื่องมาจนถึงเดือนนี้คือ เรื่อง “สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ” และ “ปฏิบัติการทางทหารด้วยการโจมตีทางอากาศในซีเรียของ 3 ชาติ ประกอบไปด้วยสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส”

โดยประเด็น trade war หรือสงครามการค้า เรามองว่าภายใต้เศรษฐกิจโลกที่ห่วงโซ่การผลิต (global supply chain) เชื่อมโยงกันมาก การทำสงครามการค้าระหว่างกันของ 2 ชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกจะสร้างความเสียหายแก่กันและกันมากกว่าจะเป็นประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

นอกจากนี้ การขู่ทำสงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์เป็น tactic ในการขู่เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจามากกว่า ดังจะเห็นในปีที่แล้ว การขู่ไปขู่มาของทรัมป์กับเกาหลีเหนือผ่าน twitter ซึ่งท้ายสุดแล้วไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงขึ้น

มิหนำซ้ำ ล่าสุดนี้ ทั้งทรัมป์และเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจนจะมีการเจรจาสุดยอดของ 2 ผู้นำในเดือนหน้านี้

แน่นอนว่า จีนไม่ใช่เกาหลีเหนือที่สหรัฐจะกดดันแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ แต่สัญญาณล่าสุดของประธานาธิบดีจีนที่กล่าวในที่ประชุมโบ๋อ๋าว (Boao forum for Asia) เมื่อต้นเดือนนี้ต่อหน้าผู้นำหลายประเทศคือ การส่งสัญญาณว่าจีนพร้อมจะเจรจาร่วมกับสหรัฐในการคลี่คลายข้อพิพาทนี้

ขณะที่รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐยืนยันเช่นเดียวกันว่า มาตรการจัดเก็บภาษีที่ประกาศนั้น ยังไม่ได้บังคับใช้จนกว่าจะถึงเดือน พ.ค. และเรียกร้องให้มีการเจรจาร่วมกันระหว่างสหรัฐและจีนก่อนถึงกำหนดเวลาดังกล่าว

ทั้งหมดนี้คือสัญญาณบวกที่ผมคาดว่าเรื่องการขาดดุลการค้าจะไม่กลายเป็นสงครามการค้าระหว่าง 2 ฝ่าย เพราะการเจรจาเป็นทางออกที่ 2 ฝ่ายมุ่งหวัง

ในส่วนตะวันออกกลางนั้น ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่

ผมมองว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรีย นำโดยสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส ต่อฐานทัพและคลังอาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรียนั้น ไม่น่าจะพัฒนาการกลายเป็นความเสี่ยงทางการเมืองที่ขยายตัวขึ้นมากกว่าปัจจุบัน

เพราะสหรัฐและพันธมิตรยืนยันชัดเจนว่า ปฏิบัติการทางอากาศเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียว “a one-time shot” เพื่อตอบโต้การใช้อาวุธเคมีและไม่ใช่ปฏิบัติการทางทหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย (It is not about regime change.)

ที่สำคัญ ปฏิบัติการทางอากาศนี้ไม่ปรากฏว่าสร้างความเสียหายต่อกองทัพรัสเซียที่ประจำการในซีเรีย ทำให้มีความเสี่ยงต่ำที่รัสเซียจะตอบโต้อย่างรุนแรง

3.นักลงทุนควรทำอย่างไร ?

เศรษฐกิจโลกยังอยู่บนพื้นฐานของการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ในช่วงนี้ เป็นการประกาศงบการเงินไตรมาสแรกที่เริ่มทยอยประกาศ ซึ่งล่าสุดนักลงทุนคาดว่ากำไรสุทธิต่อหุ้นในตลาดสหรัฐจะเพิ่มสูงถึง 18.4% ดีกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้าซึ่งคาดว่าจะขยายตัวที่ 12%

ขณะที่นอกจากความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าและความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังมีเรื่องที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย

ดังนั้น จากนี้ไปความผันผวนของตลาดจะเพิ่มมากกว่าในอดีต แต่สำหรับนักลงทุนควรที่จะยึดมั่นการลงทุนต่อไป (keep calm and stay invested) เพราะในเชิงพื้นฐานเศรษฐกิจโลกและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงขยายตัวดี และการลงทุนที่จะรับมือภาวะผันผวนได้ดีคือ การจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือ asset allocationsนั่นเอง