
เช่าซื้อมอ’ไซค์ปีมังกร ซึมพิษหนี้ครัวเรือน-หนี้เสียพุ่งไม่หยุด-คุมเพดานดอกเบี้ยยังหลอนสกรีนลูกค้าเข้มข้น ด้าน “ฐิติกร” ประเมินยอดขายทั้งระบบ 1.7 ล้านคัน ลดลง 9% ยอดสินเชื่อวูบ 7-8 พันล้านบาท เข้มพิจารณารายได้ผู้กู้อย่างต่ำ 3 เท่าของค่างวดถึงปลอดภัย ด้าน “ไฮเวย์” ชี้ ผู้ประกอบการเข้มงวดดันยอดปฏิเสธสินเชื่อแตะ 40-50% พร้อมลดเสี่ยงเพิ่มเงินดาวน์-ดึงคนค้ำประกัน ฟาก “ที ลีสซิ่ง” คาดยอดปล่อยกู้ทั้งระบบ 8-8.5 หมื่นล้านบาท จับตาเกณฑ์ ธปท.คุมเช่าซื้อจักรยานยนต์ไตรมาส 3/67 ชัดเจน
นายศุภชัย บุญสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเวย์ จำกัด (สมหวัง เงินสั่งได้) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในปี 2567 น่าจะปรับตัวลดลงจากปีก่อน โดยคาดว่ายอดขายจะเหลือเพียงราว 1.7 ล้านคัน จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ปัจจัยสงครามที่อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันและค่าครองชีพ รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนผลกระทบจากการถูกคุมเพดานดอกเบี้ยไว้ที่ 23% ต่อปี
ทำให้สถาบันการเงินต้องให้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ คัดกรองลูกค้าเข้มงวดต่อเนื่อง และอาจต้องปรับเครดิตลูกค้าเข้มข้นมากขึ้น ส่งผลให้ต้องปรับเพิ่มเงินดาวน์ลูกค้าเฉลี่ย 10-20% หรือหากรายได้ลูกค้าไม่เพียงพอ ก็อาจจะต้องปรับลดขนาดรุ่นรถจักรยานยนต์ลง หรือให้หาบุคคลมาค้ำประกันเพิ่มเติม
ซึ่งจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้เห็นอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15-20% ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าของแต่ละสถาบันการเงิน เช่น กลุ่มอาชีพอิสระ หรือเกษตรกรยอดปฏิเสธสินเชื่ออาจจะแตะ 40-50% หรือกลุ่มรายได้ประจำเฉลี่ยอยู่ที่ 35%
“บริษัทระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมาตั้งแต่ปี 2566 หลังมีเกณฑ์คุมเพดานดอกเบี้ย จึงทำให้บริษัทต้องคัดกรองลูกค้ามากขึ้น โดยจะประเมินตามสถานการณ์ตลาด ไม่เน้นเติบโตหวือหวา เน้นทำร่วมกับร้านค้าท้องถิ่นโดยตรง และเลือกพื้นที่ทำธุรกิจที่คาดว่าจะมีเสี่ยงน้อยจากการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ (เอ็นพีแอล) และจะปรับสมดุลธุรกิจไปสู่ตลาดจำนำทะเบียนมากขึ้น ให้มีสัดส่วน 60-65% ที่เหลือราว 35-40% จะเป็นธุรกิจเช่าซื้อ โดยปีนี้เราตั้งเป้าเติบโตอ่อน ๆ เพื่อประคองตัว และควบคุมคุณภาพสินเชื่อ หากสถานการณ์เปลี่ยน เราค่อยกลับมาขยายตัว”
นายประพล พรประภา กรรมการและรองผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) กล่าวว่า ปีนี้คาดการณ์ยอดขายรถจักรยานยนต์จะชะลอตัวอยู่ที่ราว 1.7 ล้านคัน ลดลง 9% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.8 ล้านคัน โดยปัจจุบันสัดส่วนการซื้อรถจักรยานยนต์จะเป็นเงินสด 20% และใช้ไฟแนนซ์อีก 70-80% คาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้ทั้งระบบน่าจะอยู่ที่ราว 6.8 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท ลดลงประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท และประเมินเอ็นพีแอลน่าจะขยับขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ

“ในส่วนของบริษัทปีนี้จะไม่เน้นการเติบโตมากนัก และขยายพอร์ตการเติบโตในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากในประเทศมีปัจจัยเสี่ยงค่อนข้างมาก ซึ่งต้องเน้นบริหารคุณภาพสินเชื่อ เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อย โดยพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก อาจจะต้องมีรายได้มากกว่าค่างวด 3-4 เท่า หรืออย่างต่ำควรจะมี 3 เท่า เนื่องจากปัจจุบันลูกค้า 1 รายมีการผ่อนชำระหนี้สินหลายอย่าง ดังนั้น สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) ควรจะอยู่ที่ระดับ 30-40% ถือว่าเป็นระดับที่ปลอดภัย”
นายประพลกล่าวด้วยว่า ปีนี้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้นด้วย เช่น ลูกค้าที่ไม่ต้องการเป็นเจ้าของรถ แต่สามารถเลือกจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์ได้ โดยบริษัทได้ออกมาทดลองตลาดในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าได้ผลตอบรับที่ดี
นายมงคล เพียรพิทักษ์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด และอดีตนายกสมาคมธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กล่าวว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดสินเชื่อรถจักรยานยนต์แข่งขันค่อนข้างรุนแรง ครึ่งหลังปี ตลาดขยายตัวค่อนข้างสูง ส่วนปี 2567 ประเมินว่า ยอดขายรถจักรยานยนต์จะหดตัวราว 4-5% หรือมียอดขายไม่ถึง 1.79 ล้านคัน สอดคล้องกับยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่จะปรับลดลง โดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 8-8.5 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ที่มียอดปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันมาจากสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่วนหนึ่งจากหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) รวมถึงเกณฑ์ที่จะเข้ามาดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เพิ่มเติมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าจะออกมาชัดเจนภายในไตรมาส 3/2567 และเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง 90% ของจีดีพี และเอ็นพีแอลสินเชื่อเช่าซื้อที่ส่งสัญญาณเพิ่มขึ้น ทำให้กระทบต่อยอดขายและการอนุมัติสินเชื่อทั้งระบบ
“ที ลีสซิ่ง ตั้งเป้าใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ยอมรับว่ามีความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ เน้นกลุ่มลูกค้าที่ประกอบอาชีพจริง มีรายได้พอชำระหนี้ค่างวด หรือเน้นการวางเงินดาวน์เพิ่มเติมเฉลี่ยตั้งแต่ 5-25% ขึ้นกับลูกค้า และหากลูกค้ามีปัญหามีโปรแกรมช่วยเหลือ ส่งผลให้ภาพรวมหนี้เสียทั้งระบบในปีนี้น่าจะลดลง เพราะทุกสถาบันการเงินมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ช่วยลูกค้า”